นายศักดิ์ดา ทองปลาด ผู้ทำการแทนผู้จัดการ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย หรือ AFET กล่าวว่า “การที่รัฐบาลเลือกจำหน่ายสต็อกข้าว โดยวิธีประมูลแบบเสนอส่วนต่างราคา (การประมูลแบบ Basis) ซึ่งคู่สัญญาที่ประมูลได้จะมาเปิดสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน AFET ซึ่งเป็นตลาดเสรีที่ผู้ประกอบการข้าวทุกระดับสามารถเข้ามาสั่งซื้อขายได้อย่างโปร่งใส จะก่อให้เกิดการแข่งขันที่สมบูรณ์ในการกำหนดราคาตามภาวะตลาด ทำให้เกิดราคาอ้างอิงที่เป็นที่ยอมรับ เพื่อใช้เป็นราคาประมูล ซึ่งผู้ประกอบการค้าข้าวทั้งรายย่อยและรายกลางก็สามารถเข้าซื้อสินค้าข้าวในสต็อกของรัฐบาลผ่านกลไกของ AFET ได้ สามารถเลือกล็อกราคาล่วงหน้าที่ตนพอใจ ตลอดจนเลือกช่วงเวลาในการรับมอบสินค้า ซึ่งก่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการราคา ทั้งของผู้ประกอบการและรัฐบาล”
นายศักดิ์ดากล่าวเสริมว่า “การใช้กลไก AFET ของรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นและส่งเสริมให้กลไกตลาดทำงาน โดยจากการประมูลที่ผ่านมา (พ.ศ.2550 และ พ.ศ.2552) พบว่าปริมาณการซื้อขายใน AFET จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากปริมาณข้าวที่รัฐบาลได้นำมาประมูลถึง 3 เท่าตัว ดังนั้นจึงคาดหวังได้ว่าปริมาณซื้อขายใน AFET จะมีความคึกคักเพิ่มขึ้น จากปริมาณข้าวที่ประมูล 1 ล้านตัน จะก่อให้เกิดปริมาณซื้อขายใน AFET ไม่น้อยกว่า 50,000 สัญญา (สัญญาละ 15 ตัน) หรือเฉลี่ยเดือนละเกือบ 10,000 สัญญา ในระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งนอกจากมีผู้ประกอบการข้าว ยังมีนักลงทุนอีกจำนวนหนึ่งให้ความสนใจเข้ามาซื้อขาย เพราะเล็งเห็นโอกาสการลงทุนสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มผลตอบแทนให้กับพอร์ตการลงทุนอีกด้วย”
การประมูลข้าวสารแบบ Basis เป็นการประมูลข้าวสารแบบเสนอส่วนต่างราคาโดยเปรียบเทียบระหว่างข้าวในคลังองค์การคลังสินค้า (อคส.) สัญญาล่วงหน้าข้าวของ AFET โดยพิจารณาจากคุณภาพข้าว ค่าขนส่ง และอื่นๆ ซึ่งการประมูลในลักษณะนี้ จะทำให้ผู้เข้าร่วมประมูล สามารถประกันราคาซื้อข้าวล่วงหน้าใน AFET ในขณะเดียวกันรัฐบาลโดย อคส. สามารถประกันราคาขายข้าวล่วงหน้าใน AFET ตามราคาที่แต่ละฝ่ายพอใจ อีกทั้งช่วยให้กลไกตลาดข้าวทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.afet.or.th
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณคริษฐา คุ้มพงษ์ / คุณหวานใจ ณ พัทลุง
ฝ่ายการตลาดและประชาสัมพันธ์ ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET)
โทร 0-2263-9873, 0-2263-9874 หรือ www.afet.or.th