นายวิมล จันทรโรทัย รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการเปิดอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง รุ่นที่ 63 จัดโดย สถาบันเกษตราธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ณ ห้องดุสิตา โรงแรมเอเชียแอร์พอร์ต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ระหว่างวันที่ 22 มกราคม ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2557 ว่า การจัดฝึกอบรมและพัฒนาหลักสูตร “นักบริหารหารพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง” ที่ผ่านมา นับว่าเป็นประโยชน์ต่อข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจเป็นอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมในการนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการปฏิบัติราชการ โดยมุ่งเน้นการพัฒนานักบริหารระดับกลางให้มีภาวะผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถ ทักษะและสมรรถนะในด้านการบริหารอย่างถูกต้องเหมาะสม และสอดคล้องกับสภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีความพร้อมสำหรับการก้าวสู้ผู้บริหารในระดับนโยบาย สามารถขับเคลื่อนนโยบาย ยุทธศาสตร์ สร้างหรือนำการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในหน่วยงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1. สามารถถ่ายทอดนโยบายจากระดับสูงไปสู้ระดับปฏิบัติการในหน่วยงานที่รับผิดชอบได้อย่างถูกต้อง 2. ได้รับความรู้ ความเข้าใจในการพัฒนาแนวคิดและวิสัยทัศน์ที่จะสามารถเป็นผู้นำบริหารการเปลี่ยนแปลง และบริหารงานได้อย่างมืออาชีพ 3. เพิ่มพูนทักษะในการสร้างแรงจูงใจ และพัฒนาประสิทธิภาพของทีมงานและองค์การได้อย่างเป็นรูปธรรม 4. เข้าใจกระบวนการสร้างเครือข่าย และระบบพันธมิตร เพื่อเพิ่มพลังการทำงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และ 5. มีพฤติกรรมที่สะท้อนคุณธรรมและจริยธรรม ที่เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับผู้ปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนี้ นายวิมล กล่าวต่ออีกว่า การพัฒนาผู้นำในภาคราชการเป็นกลไกหลักสำคัญที่จะนำการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติ เพื่อการพัฒนาระบบราชการไทยให้มีความทันสมัยก้าวสู่สากล มีขีดความสามารถในการก้าวสู่การแข่งขันในระดับเวทีโลก โดยการปรับโครงสร้างราชการ แนวทางการทำงานและวัฒนธรรมของการทำงานแบบเก่าซึ่งมีข้อจำกัดปรับเปลี่ยนได้ยาก ไปสู่การทำงานของข้าราชการยุคใหม่ที่ต้องมีความยืดหยุ่นคล่องตัวกว่า มีการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยความลึกซึ้งในหลากหลายมิติ มีการทำงานในลักษณะเชิงรุก โดยการเพิ่มพูนประสิทธิภาพและสร้างแรงจูงใจแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญ เพื่อให้มีคุณภาพ คุณธรรม คุณภาพชีวิต มีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติราชการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ พร้อมสร้างการเปลี่ยนแปลงด้วยนวัตกรรมใหม่ให้แก่องค์กรและบุคลากรในองค์กรได้ ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาศักยภาพขององค์กรเพื่อเป็นกลไกพื้นฐานที่สำคัญต่อการผลักดันระบบบริหารราชการให้ยั่งยืน และมีเสถียรภาพต่อไป