APMGroup แนะ ‘เงินเดือน-ตำแหน่ง’ ไม่ใช่คำตอบของคนทุกเจน

พุธ ๑๙ มีนาคม ๒๐๑๔ ๑๒:๒๒
หลายคนคงเคยชินกับคำว่า “มนุษย์เงินเดือน” …หรือแปลง่ายๆ คือ พนักงานที่ได้รับผลตอบแทน ค่าแรง เป็น “เงินรายเดือน” ซึ่งคนทั่วไปยังเข้าใจว่า ‘เงินเดือน’ คือคำตอบของพนักงานประจำ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าผลงานวิจัยที่ทยอยออกมาเรื่อยๆ ได้บ่งชี้ว่า การที่บริษัทตอบแทนค่าแรงพนักงานเป็นเงินเดือนเพียงอย่างเดียว เริ่มไม่ใช่คำตอบที่ตรงใจพนักงานยุคนี้อีกต่อไป

ปัจจุบัน คนทั่วไปมีทางเลือกในการสรรหาแหล่งทำงานใหม่ๆ มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันภาวะเศรษฐกิจที่คลุมเครือและการเมืองที่ไม่แน่นอน ก็ทำให้มนุษย์เงินเดือนเกิดความเครียดและความกดดันในด้านการบริหารเวลาตนเอง และการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ส่งมอบงานที่มีคุณภาพให้แก่บริษัทเช่นกัน

พนักงานจึงเริ่มมหันมาให้ความสนใจในบรรยากาศของการทำงาน ที่มีผลต่อการสร้างความสมดุลให้กับจิตใจและร่างกายมากขึ้น (Work-Life-Balance) โดยในส่วนของบริษัทเองก็ต้องมีการปรับตัวเพื่อสามารถดึงดูดใจให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุข รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท และพร้อมจะทุ่มเทเวลาในแต่ละวันที่จำกัดให้แก่การทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งแนวคิดนี้เรียกว่า Happy Workplace นั่นเอง

เงินเดือน-ตำแหน่ง ไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง

ทุกวันนี้แต่ละองค์กรมีเจนเนอเรชั่นของพนักงานไม่ต่ำกว่า 3-4 รุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นมีโจทย์ในการสร้างความผูกพันกับองค์กรแตกต่างกัน ก่อให้เกิดความต้องการที่ไม่ซ้ำแบบ เช่น ตำแหน่ง เงินเดือน แพคเกจท่องเที่ยวและสุขภาพ ประกันภัย เงินออมหลังเกษียน หรือ แพคเกจที่ตอบโจทย์ในแง่ไลฟ์สไตล์ จึงไม่น่าแปลกใจหากเราจะเริ่มได้ยินพนักงานรุ่นใหม่พูดว่า “ไม่ขอเข้าบริษัท แต่จะทำงานส่งทางอีเมลล์” “ยอมเงินเดือนลดลงแต่มีเวลาได้ท่องเที่ยวมากขึ้น” หรือ พนักงานที่มีครอบครัวจะต้องการแพคเกจคุ้มครองสุขภาพเผื่อแผ่แก่ลูกและคู่สมรส และต้องการวันลาพักร้อนที่ตรงกับวันหยุดปิดเทอมของลูก หรือพนักงานที่อยู่ในวัย 50 ขึ้นไปจะเริ่มมองหาแพคเกจคุ้มครองสุขภาพและประกันรายได้หลังเกษียน เป็นต้น

ดังนั้นองค์กรจำเป็นจะต้องมองให้เห็นและเข้าใจในความแตกต่างของสมาชิกแต่ละคน อาทิ

- Baby Boomers (พ.ศ 2489-2507) ทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ ให้ความสําคัญกับความสําเร็จ ต้องการความมั่นคง ต้องการชื่อเสียง

- Gen X (พ.ศ. 2508-2522) เน้นผลลัพธ์ของงาน ทำงานโดยยึดตนเองเป็นหลัก ทํางานได้หลากหลาย ปรับตัวเข้ากับสภาวะต่างๆได้ง่าย

- Gen Y (พ.ศ. 2523-2543) รักอิสระ ชอบงานท้าทาย อยากเห็นผลสำเร็จของงานทันที ทำงานเป็นทีม เก่งเรื่องเทคโนโลยี ปรับตัวได้เร็ว มีความคิดสร้างสรรค์ และมี network มาก

- Gen Z (พ.ศ.2544 เป็นต้นไป) ยึดมั่นกับความโปร่งใส ยืดหยุ่น มีอิสระ และพึ่งตนเองในการทำงาน ต้องการทำงานที่ถูกใจตัวเอง ต้องการให้ความคิดเห็นของตัวเองถูกรับฟัง Social Networks ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องมีในที่ทำงาน

Cornell University มหาวิทยาลัยชื่อดังของอเมริกา ก็ได้มีการจัดทำโครงการ Happy Workplace ในส่วนของช่วงเวลาและสถานที่ทำงานที่ตรงกับความต้องการของบุคลากรแต่ละคน เช่น การเริ่มงานในเวลาที่ต้องการแต่ทั้งนี้ต้องทำงานให้ครบตามจำนวนชั่วโมงที่กำหนด การทำงานจากนอกสถานที่อาทิ ที่บ้าน ร้านกาแฟ หรือ Coworking Space และการให้พนักงาน 2 คน share งาน 1 หน้าที่ซึ่งรวมถึงการ share เวลาในการทำงานและสวัสดิการอื่นๆ ด้วย

หากลองสังเกตให้ดี จะพบว่าหลายองค์กรที่ประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ต่างให้ความสำคัญกับพนักงานในทุก Generations และเล็งเห็นถึงความสำเร็จที่ได้มาจากการทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น แนวคิดการบริหารองค์กรแบบ Happy Workplace หรือ Work/Life Balance จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อเป็นการสร้างความผูกพัน ระหว่างพนักงานกับองค์กร ตัวอย่างเช่นในต่างประประเทศ ‘SAS Software’ บริษัทติดอันดับ 100 Best companies to work for มานานกว่า 13 ปี ได้มีการจัดทำ package ผลตอบแทนที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานในแต่ละกลุ่ม เช่น พนักงานที่มีครอบครัว พนักงานที่เตรียมตัวเกษียนอายุรวมถึงการดูแลหลังเกษียน พนักงานที่ใส่ใจในเรื่องของสุขภาพ

ในประเทศไทยก็เริ่มมีหลายบริษัทที่นำโครงการ Happy Workplace มาใช้ ตัวอย่างเช่น บริษัท เอพีเอ็ม กรุ๊ป ที่ปรึกษาเพื่อการพัฒนาองค์กรและบุคลากร ได้มีการวิเคราะห์ความต่างของแต่ละเจนเนอเรชั่น โดยอาศัยความร่วมมือจากพนักงานแต่ละเจนช่วยวางแผน และออกแบบแพคเกจ ใช้ระยะเวลานานกว่า 1 ปี จนได้ Package ที่หลากหลายและสามารถตอบสนองในสิ่งที่พนักงานแต่ละคนต้องการได้อย่างแท้จริง อาทิ

1. การปรับโครงสร้างค่าตอบแทนที่เป็นได้ทั้งตัวเงินและที่ไม่ใช่ตัวเงิน

2. ระบบการทำงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ

3. การปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในออฟฟิศให้น่าทำงานยิ่งขึ้น เช่น เพิ่มพื้นที่พักผ่อน ปรับห้องครัว เพิ่มมุมกาแฟ เป็นต้น

4. สร้างวัฒนธรรมที่ให้ความเคารพซึ่งกันและกัน (Honoring Culture)

5. การปรับเวลาการทำงานให้ตรงกับความต้องการของแต่ละคน อาทิ Full time/ Part time/ Flexible hour และอื่นๆ อีกมากมาย

โดยทั้งนี้ให้ให้พนักงานเลือกแพคเกจที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคนมากที่สุด

แนวคิด Happy Workplace ถือเป็นแนวคิดที่น่าสนใจในการสร้างให้พนักงานรับรู้ถึงความรู้สึกที่องค์กรให้ความใส่ใจในตัวตนของพนักงาน ส่งผลให้พนักงานมีทัศนคติที่ดีต่อการปฏิบัติงาน พร้อมทุ่มเทให้กับองค์กรและส่งมอบงานที่มีคุณภาพ ช่วยพาองค์กรให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน และพร้อมที่จะก้าวไปข้างหน้าร่วมกับองค์กรในทุกสถานการณ์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๒ บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๗:๓๓ รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๗:๔๔ กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๗:๔๒ ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๗:๑๕ กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๗:๑๕ เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๗:๒๙ สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๗:๑๐ GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๗:๔๓ เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๖:๓๖ เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4