โพลล์สำรวจความรับรู้เกี่ยวกับแนวทางสร้างความสุขคืนประชาชนของคสช.

อังคาร ๑๗ มิถุนายน ๒๐๑๔ ๑๑:๒๕
ศ. ดร.ศรีศักดิ์ จามรมาน ประธานกรรมการอาวุโส,อาจารย์พรพิสุทธิ์ มงคลวนิช ประธานกรรมการ,ดร.พิสิฐ พฤกษ์สถาพร กรรมการรองผู้อำนวยการ, ดร.กุลธิดา เสาวภาคย์พงศ์ชัย กรรมการรองผู้อำนวยการ และอาจารย์วัฒนา บุญปริตร กรรมการรองผู้อำนวยการ สำนักวิจัยสยามเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตโพลล์ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ระดับอุดมศึกษาร่วมแถลงผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลต่อการปฏิรูปเพื่อสร้างความสงบสุขให้กับประเทศอย่างยั่งยืน

ศ.ศรีศักดิ์ สรุปจากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 1,134 คน สามารถสรุปผลได้ดังนี้ ในด้านข้อมูลทางประชากรศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงร้อยละ 50.97 ขณะที่ร้อยละ 49.03 เป็นเพศชาย กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 31.31 มีอายุเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 25 ถึง 34 ปี นอกจากนี้ กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จบการศึกษาในระดับปริญญาตรีคิดเป็นร้อยละ 37.48 สำหรับการประกอบอาชีพนั้นกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 30.86 และร้อยละ 24.96 เป็นลูกจ้าง/พนักงานในห้างร้านหรือบริษัทเอกชน และข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจตามลำดับ

ในด้านความรับรู้และความคิดเห็นต่อแผนการ 3 ระยะในการนำประเทศไปสู่ความสงบสุขของผู้บริหารประเทศใน ปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่างประมาณสามในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 75.04 รับทราบข่าวเกี่ยวกับแผนการ 3 ระยะของการนำประเทศ ไปสู่ความสงบสุขที่ผู้บริหารประเทศในปัจจุบันได้ชี้แจงสู่สาธารณะ ขณะที่กลุ่มตัวอย่างร้อยละ 79.67 เห็นด้วยกับแผนการ 3 ระยะของการนำประเทศไปสู่ความสงบสุขที่ผู้บริหารประเทศในปัจจุบันได้ชี้แจงสู่สาธารณะ และหากแผนการ 3 ระยะของ การนำประเทศไปสู่ความสงบสุขที่ผู้บริหารประเทศในปัจจุบันได้ชี้แจงสู่สาธารณะดำเนินการสำเร็จ กลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2 ในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 69.33 เชื่อมั่นว่าประเทศจะกลับมามีความสงบสุขอีกครั้ง ขณะเดียวกันกลุ่มตัวอย่างเกือบสาม ในสี่หรือคิดเป็นร้อยละ 73.44 มีความคิดเห็นว่าระยะเวลาประมาณ 15 เดือนในการดำเนินแผนการ 3 ระยะของการนำประเทศ ไปสู่ความสงบสุขที่ผู้บริหารประเทศในปัจจุบันได้ชี้แจงสู่สาธารณะนั้นเป็นระยะเวลาที่ไม่นานเกินไป

นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบความสำคัญของการปฏิรูปใน 4 ด้านที่จะทำให้ประเทศเกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืน กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ถึงเกือบหนึ่งในสามหรือคิดเป็นร้อยละ 32.67 ระบุว่าการปฏิรูปด้านการศึกษามีความสำคัญที่สุดที่จะทำให้ ประเทศเกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืน ขณะที่มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 26.09 ที่ระบุว่าการปฏิรูปด้านการเมืองมีความสำคัญที่สุด ส่วนกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 13.04 และร้อยละ 9.05 ระบุว่าการปฏิรูปด้านสังคมและด้านเศรษฐกิจตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มตัวอย่างร้อยละ 19.15 ระบุว่าการปฏิรูปทั้ง 4 ด้านมีความสำคัญเท่ากัน

สำหรับปัจจัยสำคัญสูงสุด 3 ปัจจัยตามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างที่จะทำให้ประเทศมีความสงบสุขได้อย่างยั่งยืนคือ การให้การศึกษาที่มีคุณภาพ ทั่วถึงและเท่าเทียม คิดเป็นร้อยละ 82.28 การได้รับข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รอบด้าน คิดเป็นร้อยละ 79.89 และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียม คิดเป็นร้อยละ 76.72 ส่วนอุปสรรคสำคัญ 3 อันดับสูงสุดที่จะทำให้ ประเทศไม่เกิดความสงบสุขอย่างยั่งยืนตามความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ การไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมและ เท่าเทียม คิดเป็นร้อยละ 81.31 การทุจริตคอรัปชั่น คิดเป็นร้อยละ 79.19 และการได้รับข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนไม่ครบถ้วน ถูกต้อง คิดเป็นร้อยละ 77.34

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4