ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการปฏิรูปภาคเกษตรไทย คือ การมุ่งเน้นในการพัฒนาการเกษตรใน 4 ด้านที่สำคัญ ประกอบด้วย 1.ด้านเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มเป็นสถาบันเกษตรกรและเกษตรกรรายย่อย เน้นการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการผลิต ให้เป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง 2.ด้านสินค้าเกษตร ทั้งด้านพืช ประมง และปศุสัตว์ มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตร โดยพิจารณาความต้องการของตลาด รวมทั้งผลักดันการวางแผนการผลิตดังกล่าวเป็นวาระสำคัญของกระทรวงในรายสินค้าสำคัญ ได้แก่ ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน อ้อยโรงงาน และกุ้ง ซึ่งให้ความสำคัญกับการลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การเข้าถึงตลาด รวมทั้งการปรับเปลี่ยนการผลิตให้สอดคล้องกับเขตเกษตรเศรษฐกิจ (Zoning) 3.ด้านทรัพยากรการเกษตร ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านแหล่งน้ำ และการขยายพื้นที่ชลประทาน เพิ่มแหล่งน้ำขนาดเล็กในไร่นา เน้นการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่มีภารกิจด้านน้ำ รวมทั้งมุ่งเน้นให้มีการผลิตทางการเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในรูปแบบเกษตรสีเขียว และ 4.ด้านการบริหารจัดการภาครัฐ ส่งเสริมให้ภาครัฐและทุกภาคส่วนร่วมผลักดันแนวทางการปฏิรูปภาคการเกษตรไปสู่การปฏิบัติ โดยยึดแนวพระราชดำรัส “เข้าใจ – เข้าถึง - พัฒนา” กับทุกภาคีที่มีส่วนร่วมพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็งและมีธรรมาภิบาล
นายชวลิต กล่าวอีกว่า การปฏิรูปภาคเกษตรเป็นนโยบายสำคัญที่เป็นเจตนารมณ์และนโยบายเร่งด่วนของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มุ่งเน้นการพัฒนาภาคเกษตรในประเด็นต่าง ๆ ทั้งการพัฒนาอาชีพและรายได้ การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมด้านเศรษฐกิจ และการเตรียมการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ดังนั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการวางแนวทางปฏิรูปภาคเกษตรของประเทศที่ขับเคลื่อนไปสู่การทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน จึงจัดเสวนาการปฏิรูปภาคเกษตรไทยเพื่อคืนความสุขให้ประชาชน รวบรวมและประมวลข้อเสนอการปฏิรูป และการรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง เพื่อที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะได้นำไปพัฒนา เพื่อนำพาภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน เกษตรกรมีคุณภาพชีวิตที่ดี ประชาชนมีความมั่นคงด้านอาหาร เป็นฐานสร้างรายได้ให้แผ่นดินต่อไป