แต่ราคาการทำศัลยกรรมของทั้ง 2 ประเทศที่กล่าวมา ค่อนข้างที่จะมีราคาสูงมาก ทำให้บางคนไม่สามารถที่จะมาทำการเข้าผ่าตัดเสริมความงามได้มากนัก แต่ประเทศไทยเองก็ไม่ได้เป็นรอง 2 ประเทศมากนัก เพราะการทำศัลยกรรมในบ้านเรา ก็มีคุณภาพ และไม่ได้ด้อยไปกว่าทั้ง 2 ประเทศการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงได้จับมือกับโรงพยาบาลชื่อดัง ทางด้านศัลยกรรมพลาสติกทั่วประเทศ สร้างแคมเปญ “Thailand Extreme Makeover”เพื่อเป็นการผ่าตัดเสริมความงาม ที่นำมาเป็นจุดขาย และกระตุ้นการท่องเที่ยว ให้ชาวต่างชาติที่ได้เดินทางเข้ามาพักรักษาตัวและทำศัลยกรรม ได้ใช้เวลาในช่วงพักฟื้น หลังเข้ารับการรักษา ได้เที่ยวแบบเบา ๆ สบาย ๆ
“ฐาปณีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้อำนวยการกลุ่มสารสนเทศการตลาด สำนักเทคโนโลยีสารสนเทศ ททท. ได้กล่าวว่า ในปัจจุบันนี้ประชาชนต่างก็ให้ความสนใจในการทำศัลยกรรมกันมาก มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย เพราะคิดว่าเมื่อได้ทำศัลยกรรมแล้ว จะทำให้ตนเองดูดี สวย หล่อ ยิ่งขึ้น และสามารถทำรายได้ให้กับตัวเองในสายงานบางอาชีพ ส่งผลให้เกิดค่านิยมในการทำศัลยกรรมกันมากขึ้น
ปัจจุบันค่านิยมทางด้านศัลยกรรม กำลังแพร่หลายเข้าไปในประเทศจีนอย่างรวดเร็ว เพราะสมัยก่อนคนจีนจะชอบไปทำศัลยกรรมที่ประเทศเกาหลีใต้ แต่ตอนนี้ศัลยแพทย์ของประเทศไทยก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าประเทศอื่นๆ ทำให้มีประชาชนจากประเทศอื่น ๆ เข้ามาทำศัลยกรรมกับทางศัลยแพทย์ของเมืองไทยอยู่ตลอด
เทรนด์ความงามไม่สมบูรณ์แบบ
ฝีมือที่ยอดเยี่ยมของศัลยแพทย์พลาสติกในเมืองไทย ไม่เพียงแต่เป็นแม่เหล็กที่คอยดึงดูดให้ผู้คนได้เข้ามาทำศัลยกรรมเท่านั้น แต่ยังมีอีกด้าน ที่ยังเชิญชวนให้เกิด “คลินิกเถื่อน” หรือ คลินิกที่ไม่ได้รับรองมาตรฐานความปลอดภัยในการทำศัลยกรรมทางแพทย์สภาเอง ก็ยังวิตกกับปัญหาเหล่านี้อยู่เหมือนกัน เพราะในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา มีคลินิกศัลยกรรมเสริมความงามได้เปิดบริการกันอย่างมาก ทำให้เป็นเรื่องที่ต้องคิดและป้องกันไม่ให้คลินิกศัลยกรรมเหล่านี้ ได้ฉกฉวยผลประโยชน์กับกระแสของการทำศัลยกรรมในประเทศไทยเมื่อการดันเมืองไทยให้กลายเป็นเมดิคอลฮับของเอเชียในอนาคต อาจเป็นเรื่องราวที่น่าสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาในวงการแพทย์ศัลยกรรมก็จริง แต่ในทางกลับกัน ในประเด็นที่จะชูจุดขาย ให้กับทางด้านศัลยกรรม ให้เป็นที่หนึ่งแล้ว ยังมีปัญหาที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับผลกระทบ จากการเฟื่องฟูในวงการแพทย์ศัลยกรรมไทย เช่น เกิดเรื่อง การเสพติดศัลยกรรม ที่เริ่มแพร่หลายในปัจจุบันนี้
“นายแพทย์อดุลย์ชัย แสงเสริฐ” ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง ได้กล่าวว่า พฤติกรรมการเสพติดศัลยกรรมไม่ได้นับกันที่จำนวนครั้งที่ไปผ่าตัดกับหมอ แต่ปัญหาดังกล่าวนั้น เป็นเรื่องของ สภาพจิตใจของผู้เข้ารับการผ่าตัดเสริมความงาม ซึ่งอาจเกิดจากความไม่พอใจในรูปร่างและใบหน้าของตนเองอย่างไม่มีจบสิ้น ทำให้เกิดความต้องการที่จะศัลยกรรมอยู่ตลอด แม้ในปัจจุบันจะหน้าตาดีอยู่แล้วก็ตาม วิธีแก้ที่ดี คือ ต้องพยายามสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง อย่านำเอาจุดด้อย ข้อบกพร่องเล็ก ๆ น้อย ๆ บนใบหน้าของตนเองมาเป็นข้อวิตก แล้วนำไปสู่การทำศัลยกรรม เพราะในที่สุดแล้วเทรนด์ศัลยกรรมในอนาคตอาจกลับไปสู่ความไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับความสวยงามในแบบธรรมชาติที่สรรสร้างมาให้เราอย่างสวยงามอยู่แล้วก็เป็นได้ นายแพทย์อดุลย์ชัย กล่าว