พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า สถานการณ์ภัยแล้งในหลายพื้นที่ เริ่มทวีความรุนแรงและขยายวงกว้างมากขึ้น ขณะนี้มีจังหวัดประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) แล้ว 23 จังหวัด 105 อำเภอ โดยพื้นที่ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับผลกระทบมากที่สุด กระทรวงมหาดไทยห่วงใยสถานการณ์ภัยแล้งที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน จึงได้สั่งการให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ประสานจังหวัดติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง พร้อมบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ อาทิ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด หน่วยงานภาครัฐ หน่วยทหาร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเร่งปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและน้ำเพื่อการเกษตร โดยให้ดำเนินการแจกจ่ายน้ำตามแผนงานที่กำหนดในพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง เน้นการจัดสรรน้ำอุปโภคบริโภคเป็นหลัก พร้อมจัดลำดับความเร่งด่วนของกิจกรรมการใช้น้ำให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เข้าถึงประชาชนผู้ใช้น้ำครอบคลุมทุกพื้นที่และป้องกันปัญหาความขัดแย้งจากการแย่งน้ำ นอกจากนี้ ให้ฝ่ายปกครองเร่งชี้แจงให้ประชาชนรับทราบถึงสถานการณ์ภัยแล้ง สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งที่อาจส่งผลให้การแก้ไขปัญหาภัยแล้งไม่เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กล่าวว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้สั่งการให้ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 8 กำแพงเพชร เขต 9 พิษณุโลก เขต 10 ลำปาง และเขต 15 เชียงราย สนับสนุนการปฏิบัติการแก้ไขปัญหาภัยแล้งระดับจังหวัด โดยนำเครื่องจักรกลสาธารณภัยและเจ้าหน้าที่เข้าปฏิบัติการในจังหวัดภาคเหนือที่ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยแล้ง) เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งเป็นไปด้วยความรวดเร็วและทั่วถึง
0-2243-0674
0-2243-2200
www.disaster.go.th