พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวว่า จากกรณีชายชราวัย ๗๒ ปี สภาพใบหน้าเขียวช้ำ เดินเท้าจากจังหวัดพิจิตรมาถึงจังหวัดพิษณุโลก ระยะทางกว่า ๔๐ กิโลเมตร เพื่อไปหาลูกสาวและขออาศัยอยู่ด้วยที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังจากยกมรดกให้ลูก ๓ คนหมดแล้ว แต่ลูกชาย ๒ คน ไม่มีใครให้อยู่ด้วยและถูกทำร้ายร่างกาย ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพิษณุโลก(พมจ.พิษณุโลก) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือ ในเบื้องต้นตามภารกิจกระทรวงฯ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้านการตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาล รวมทั้งประสานลูกสาวเพื่อให้มารับตัวชายชราผู้เป็นพ่อไปดูแลอาศัยอยู่ด้วย ส่วนกรณีเกิดเหตุเพลิงไหม้บ้านไม้ชั้นเดียววอดหมดทั้งหลังในอำเภอเมืองจังหวัดอุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นบ้านของชายวัย ๕๑ ปี อาศัยอยู่กับลูกสาววัย ๑๐ ขวบ ครอบครัวมีฐานะยากจน ตนได้กำชับให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุตรดิตถ์(พมจ.อุตรดิตถ์) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและให้การช่วยเหลือในเบื้องต้น โดยมอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็น พร้อมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาที่พักชั่วคราวให้ครอบครัวดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีหน่วยงานในพื้นที่พร้อมช่วยเหลือดูแลอย่างต่อเนื่อง
“นอกจากนี้ ตนยังได้กำชับพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสกลนคร (พมจ.สกลนคร) ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้านการรักษาพยาบาล อาการป่วยเป็นมะเร็งกระดูกที่ไหล่ขนาดใหญ่ ของพระภิกษุ อายุ ๓๒ ปี ซึ่งทำให้ไหล่บวมมาก และได้เข้ารักษาด้วยการฉายแสงกับทำคีโม หลายครั้ง แต่อาการไม่ดีขึ้น ปัจจุบันร่างกายซีดเซียว ลุกเดินไม่ไหว ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ที่จังหวัดสกลนคร”พลตำรวจเอก อดุลย์ กล่าวท้าย