KPMG เผยเกือบ 80% ของซีอีโอทั่วโลกคาดจ้างงานเพิ่มขึ้นในช่วง 3 ปีข้างหน้า

จันทร์ ๒๐ กรกฎาคม ๒๐๑๕ ๑๖:๐๗
--ผลการสำรวจ KPMG CEO Outlook Study ล่าสุดพบว่า เหล่าซีอีโอยังคงเดินหน้าปรับโฉมองค์กรของตน ขณะที่มีความกังวลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของผลิตภัณฑ์ ความจงรักภักดีของลูกค้า และการก้าวทันเทคโนโลยีใหม่ๆ

ผลการศึกษาล่าสุดโดยเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งติดตามข้อมูลเชิงลึกในช่วงสามปีข้างหน้า เผยให้เห็นว่า ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธุรกิจระดับโลกมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของบริษัทในช่วงสามปีข้างหน้า พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มของเศรษฐกิจโลก

ผลการสำรวจ 2015 KPMG CEO Outlook Study ซึ่งสอบถามความคิดเห็นของซีอีโอจำนวน 1,278 รายพบว่า 69% ของซีอีโอในยุโรป 66% ในเอเชียแปซิฟิก และ 52% ในสหรัฐอเมริกา มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัทและเศรษฐกิจโลกในช่วงสามปีข้างหน้า โดยในการประเมินแนวโน้มการเติบโตของบริษัทนั้น 70% ของซีอีโอในยุโรป และ 68% ในเอเชียแปซิฟิก ระบุว่า ตนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนในสหรัฐอเมริกาที่ซึ่งเศรษฐกิจกำลังพื้นตัวดีนั้น 19% มีความเชื่อมั่นมากกว่าปีก่อน ขณะที่อีก 46% แสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตในระดับเดียวกับปีก่อน และที่สำคัญที่สุดคือ ซีอีโอทั่วโลกมีแผนจะจ้างงาน โดย 78% ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าจะมีการจ้างงานไปจนถึงกลางปี 2018

"โดยสรุปแล้ว สารที่เราได้รับจากซีอีโอทั่วโลกก็คือ พวกเขามีมุมมองที่เป็นบวกเกี่ยวกับแนวโน้มในช่วงสามปีข้างหน้า และที่สำคัญคือพวกเขากำลังพิจารณาที่จะจ้างคนเพิ่ม" จอห์น วีห์ไมเยอร์ ประธานคณะกรรมการทั่วโลกของเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าว "ในส่วนของความเชื่อมั่น พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะในยุโรปและเอเชียเมื่อเทียบกับสหรัฐ ซึ่งเป็นผลสะท้อนส่วนหนึ่งจากการที่สหรัฐกำลังเข้าสู่ช่วงที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น"

ผลการศึกษาของ KPMG พบว่า เหล่าซีอีโอกำลังได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น โดยเรียงตามลำดับความสำคัญดังนี้: 86% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความจงรักภักดีของลูกค้า 74% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการรุกตลาดใหม่ๆ 72% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการปรับตัวให้ทันกับเทคโนโลยีใหม่ๆ 68% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับความสามารถของคู่แข่งในการแย่งชิงธุรกิจ และ 66% มีความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของตนเองในช่วงสามปีข้างหน้า

สถานะปัจจุบัน: อาจกล่าวได้ว่ามีความเสี่ยงมากที่สุดสำหรับทุกองค์กร

ผลสำรวจที่สำคัญคือ 44% ของซีอีโอมีความ 'พอใจเพียงระดับหนึ่ง' เกี่ยวกับโมเดลธุรกิจในปัจจุบัน ในขณะที่ 5% รู้สึก 'ไม่พอใจ' นอกจากนี้ ผลการสำรวจยังพบด้วยว่า 29% ของผู้นำระบุว่า องค์กรของตนมีแนวโน้มที่จะปรับโฉมไปสู่องค์กรที่แตกต่างออกไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญในช่วงอีกสามปีข้างหน้า

อย่างไรก็ดี แม้ซีอีโอต่างรับรู้ถึงความจำเป็นในการปรับโฉมธุรกิจของตนเองเพื่อความอยู่รอดและความเจริญก้าวหน้า แต่เกือบหนึ่งในสามของซีอีโอระบุว่า ธุรกิจของตนยังรับความเสี่ยงจากการดำเนินกลยุทธ์ขยายธุรกิจระดับโลกได้ไม่มากพอ และเกินกว่าครึ่ง (56%) ยังดำเนินกระบวนการส่งเสริมนวัตกรรมทั่วทั้งบริษัทได้ไม่เต็มที่

ครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามยังได้ระบุถึงความท้าทายเกี่ยวกับความจำเป็นที่ธุรกิจจะต้องปรับปรุงวิธีการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูล และความจำเป็นในการเตรียมความพร้อมมากขึ้นเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์

"บรรดาซีอีโอยังคงเผชิญกับความท้าทายทางธุรกิจที่มีความซับซ้อนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน" วีห์ไมเยอร์กล่าว " ซีอีโอหลายรายในการศึกษาของเราได้กล่าวย้ำถึงสิ่งที่ผมได้ยินได้ฟังจากการพบปะกับบรรดาผู้นำธุรกิจ นั่นก็คือพวกเขาจำเป็นต้องรับความเสี่ยงจากการดำเนินกลยุทธ์การขยายตัวให้มากขึ้น พวกเขารู้ว่าต้องทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป และกำลังศึกษาอย่างละเอียดว่าจะเปลี่ยนแปลงองค์กรของตนเองอย่างไรเพื่อคงความเกี่ยวข้องและส่งเสริมสถานะการแข่งขันของตนเองให้แข็งแกร่งขึ้น"

การจัดลำดับความสำคัญทางกลยุทธ์ในช่วงสามปีข้างหน้า

เหล่าผู้บริหารทั่วโลกวางเป้าหมายตามลำดับความสำคัญดังต่อไปนี้ การพัฒนากลยุทธ์การขยายตัวใหม่ การมุ่งความสนใจไปที่ลูกค้ามากขึ้น การขยายตัวทางภูมิศาสตร์ การลดโครงสร้างต้นทุน การเร่งการเข้าสู่ตลาด และการสนับสนุนนวัตกรรม ต่อคำถามที่ว่า ความสนใจหลักของผู้บริหารในช่วงสามปีข้างหน้าอยู่ที่การขยายตัวหรือประสิทธิภาพการดำเนินงาน 94% ของซีอีโอในสหรัฐตอบว่าการขยายตัว ขณะที่ผู้บริหารฝั่งเอเชียและยุโรปมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

ส่วนประเด็นที่ส่งผลกระทบมากที่สุดต่อความเจริญก้าวหน้าและประสิทธิภาพการดำเนินงานของบริษัท สามประเด็นแรกที่ซีอีโอระบุถึงคือ 'การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก' ตามมาติดๆด้วย 'ปัจจัยแวดล้อมด้านการกำกับดูแล' และ 'เทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด' (disruptive technology)

ยุโรปกลาง สหรัฐอเมริกา พื้นที่เป้าหมายอันดับต้นๆในการขยายธุรกิจ

สำหรับคำถามที่ว่า พื้นที่ใดที่คาดว่าจะมีการทุ่มเงินทุนจำนวนมากเพื่อการขยายธุรกิจในอีกสามปีข้างหน้า บรรดาซีอีโอต่างชี้ไปที่ธุรกิจนอกประเทศเป็นอันดับแรก โดยซีอีโอสหรัฐมุ่งเน้นไปที่ยุโรป โดยเฉพาะยุโรปกลาง ตามด้วยอเมริกาใต้ และจีน ส่วนซีอีโอในจีน ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เยอรมนี สเปน และฝรั่งเศสมองว่า สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีศักยภาพมากที่สุดสำหรับการขยายตัว "ความยืดหยุ่นของเศรษฐกิจสหรัฐ ทำให้สหรัฐเป็นเป้าหมายการลงทุนที่น่าดึงดูดสำหรับบริษัทต่างๆในยุโรปและเอเชีย" วีห์ไมเยอร์จากเคพีเอ็มจีกล่าว

การขยายตัวแบบผสม

52% ของซีอีโอระบุว่า ปัจจุบันบริษัทของตนให้ความสำคัญกับการเติบโตตามปกติของธุรกิจ (organic growth) เป็นลำดับแรก ขณะที่ 42% มุ่งเน้นผสมผสานระหว่างการเติบโตตามปกติของธุรกิจและการเติบโตจากการซื้อกิจการ (inorganic growth) ส่วนอีก 6% มุ่งไปที่การเติบโตผ่านการเข้าซื้อกิจการเป็นหลัก

เมื่อถูกถามเกี่ยวกับกลยุทธ์การขยายตัวที่คาดหวังไว้ในช่วงสามปีหน้า 59% ของซีอีโอคาดว่าจะให้ความสำคัญกับการเติบโตตามปกติของธุรกิจเป็นอันดับแรก 22% ระบุว่าให้ความสำคัญเท่าๆ กันระหว่างการเติบโตตามปกติของธุรกิจและการเติบโตผ่านการซื้อกิจการ และอีก 19% คาดว่าจะดำเนินกลยุทธ์การขยายตัวด้วยการซื้อกิจการ โดย 29% ของซีอีโอสหรัฐดำเนินกลยุทธ์ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การซื้อกิจการมากกว่า พร้อมทั้งระบุว่าการเติบโตจากการซื้อกิจการถือเป็นแรงขับเคลื่อนการขยายตัวที่สำคัญ

หากต้องการชมอินโฟกราฟฟิก วิดีโอ และข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ CEO Outlook Study กรุณาเข้าชม kpmg.com/CEOoutlook นอกจากนี้ ยังสามารถร่วมพูดคุยและติดตาม @KPMG ทางทวิตเตอร์ โดยใช้แฮชแท็ก #CEOoutlook

เกี่ยวกับ 2015 KPMG CEO Outlook Study

การสำรวจตั้งเป้าที่ซีอีโอจำนวน 1,278 คนใน 10 ตลาดหลัก (ออสเตรเลีย จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี อินเดีย อิตาลี ญี่ปุ่น สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) และ 9 ภาคอุตสาหกรรมหลัก (ยานยนต์ ธนาคาร ประกันภัย การจัดการการลงทุน บริการสุขภาพ การผลิต เทคโนโลยี ตลาดค้าปลีก/ผู้บริโภค และพลังงาน/สาธารณูปโภค) โดยหนึ่งในสี่ของผู้ตอบแบบสอบถามมีรายได้ต่อปีมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนบริษัทที่มีรายได้ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐไม่ได้ร่วมตอบแบบสอบถาม

เกี่ยวกับ เคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล

เคพีเอ็มจี เป็นเครือข่ายระดับโลกของบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบบัญชี ภาษี และการให้คำปรึกษา เราดำเนินงานใน 155 ประเทศ และมีพนักงานมากกว่า 162,000 คนที่ทำงานร่วมกันในบริษัทสมาชิกทั่วโลก บริษัทที่เป็นสมาชิกอิสระของเครือข่ายเคพีเอ็มจีจะถือเป็นบริษัทในเครือของเคพีเอ็มจี อินเตอร์เนชั่นแนล โคออเปอเรทีฟ (KPMG International Cooperative) ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติสวิส ทั้งนี้ บริษัทเคพีเอ็มจีแต่ละบริษัทถือเป็นนิติบุคคลที่แยกจากกันอย่างชัดเจนตามกฎหมาย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาเข้าชม www.kpmg.com

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๑ เม.ย. อ.อ.ป. ร่วม พิธีสรงน้ำพระ ขอพร เนื่องในวันสงกรานต์ประจำปี 2567 ทส.
๑๑ เม.ย. 1 จาก 1,159 ศูนย์การค้า เดอะ พาลาเดียม เวิลด์ ช้อปปิ้ง ส่งมอบลอตเตอรี่ที่ไม่ถูกรางวัล จำนวน 125,500 ใบ ให้กับศูนย์สาธารณสงเคราะห์เด็กพิเศษ วัดห้วยหมู
๑๑ เม.ย. JPARK ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ผถห. อนุมัติปันผล 0.0375 บาทต่อหุ้น
๑๑ เม.ย. สเก็ตเชอร์ส สนับสนุนเทคโนโลยีเพื่อความสบายแก่บุคลากรทางการแพทย์ บริจาครองเท้ารุ่น GOwalk 7(TM) สำหรับบุคลากรทางการแพทย์
๑๑ เม.ย. ศูนย์คนหายไทยพีบีเอส ร่วมกับสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ทำงานเชิงป้องกัน เก็บก่อนหาย ในผู้สูงอายุ
๑๑ เม.ย. จุฬาฯ อันดับ 1 ของไทย การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโดย QS WUR by Subject 2024
๑๑ เม.ย. ครั้งแรกในไทย 'Pet Us' เนรมิตพื้นที่จัดกิจกรรม มะหมามาหาสงกรานต์ ชวนน้องหมาทั่วทั้ง 4 ภาคร่วมสนุกในช่วงสงกรานต์ 13-14 เมษายน ตอกย้ำความสำเร็จฉลอง 'Pet Us' ครบ 3
๑๑ เม.ย. LINE STICKER OCHI MOVE จาก OCEAN LIFE ไทยสมุทร คว้ารางวัลชนะเลิศ Best Sponsored Stickers in Insurance ในงาน LINE THAILAND AWARDS
๑๑ เม.ย. วว. ผนึกกำลังหน่วยงานเครือข่าย พัฒนาเชื่อมโยงการค้า ตลาด วิจัย เทคโนโลยี นวัตกรรม สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน
๑๑ เม.ย. บริษัท เค วัน วัน ดี จำกัด ถือฤกษ์ดีจัดพิธีบวงสรวง ซีรี่ส์ Girl's Love เรื่องใหม่ Unlock Your Love : รักได้ไหม ?