Coolsculpting สวยแบบ Chill Chill สลายไขมันส่วนเกิน ได้ด้วยความเย็น จริงหรือ

อังคาร ๒๗ ตุลาคม ๒๐๑๕ ๑๕:๕๘
ความอ้วน โดยทั่วๆไปจะถูกมองว่าเกี่ยวกับเรื่องสวยเรื่องงาม รูปร่างไม่สวยสบายตา แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องของสุขภาพ เนื่องจากน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์แสดงความเกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยเป็นโรคกลุ่มเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดสมองหรือหัวใจ มะเร็งบางชนิด ซึ่งโรคเหล่านี้ได้เป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิต และการเจ็บป่วยเรื้อรังของคนไทยและทั่วโลก

เมื่อไรก็ตามที่ร่างกายมีไขมันส่วนเกินมากเกินเกณฑ์มาตรฐานระดับหนึ่ง จะเข้าสู่ภาวะน้ำหนักตัวเกิน (overweight) และถ้าสูงขึ้นไปอีกก็จะเข้าสู่ภาวะโรคอ้วน (obesity) ดูจากการวัดดัชนีมวลกาย BMI นำน้ำหนักตัว เป็นกิโลกรัมตั้ง หารด้วย ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง เช่น สูง1.56 เมตร น้ำหนัก 55 กิโลกรัม คือ 55/ 1.56 x1.56 = 22.6 จะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าสูง 1.56 เมตร น้ำหนัก 80 = 32.87 ถือว่า เข้าเกณฑ์โรคอ้วน ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่ใช้ได้กับคนส่วนมากทั่วไป แต่ถ้ากรณีเป็นนักกีฬาที่มวลกล้ามเนื้อใหญ่ การคำนวณด้วยวิธีนี้อาจจะไม่แม่นยำเหมาะสม

BMI Weight status

Below 18.5 Underweight

18.5-24.9 Normal

25.0-29.9 Overweight

30.0-34.9 Obese (Class I)

35.0-39.9 Obese (Class II)

40.0 and higher Extreme obesity (Class III)

สาเหตุหลักๆ ของความอ้วน คือ การออกกำลังไม่เพียงพอ วิถีชีวิตที่ทำงานอยู่กับที่และอุปนิสัยการรับประทานอาหาร ถึงแม้ว่าจะมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งเสริมให้อ้วนง่าย เช่น ทางพันธุกรรม ยีนเป็นตัวที่บอกว่า ร่างกายเราจะเก็บสะสมไขมันไว้แบบไหน เช่น บางคนไขมันกองที่สะโพก ต้นขา และยีนยังเป็นตัวกำหนดว่าร่างกายแต่ละคนจะเผาผลาญอาหารออกมาเป็นพลังงานได้มากน้อยแค่ไหน และเผาผลาญพลังงานไปใช้ขณะออกกำลังกายได้มากน้อยแค่ไหน

ครอบครัวที่อ้วน มักจะอ้วนไปด้วยกัน นอกจากยีนแล้วก็จะเกี่ยวกับอุปนิสัย การใช้ชีวิตประจำวัน และอาหารการกินของแต่ละครอบครัว การรับประทานยาบางตัว เช่น สเตียรอยด์ ยากันชัก ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ โรคบางโรคที่พบน้อย เช่นCushing's syndrome การตั้งครรภ์และอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้น้ำหนักเพิ่ม บางคนลดไม่ลง สะสมกลายเป็นอ้วน

การเลิกบุหรี่บางคนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม แต่ผลจากการเลิกบุหรี่ รับรองว่าคุ้มค่ากับการเลิก ดีกับสุขภาพและมาใส่ใจลดน้ำหนักวิธีอื่นๆ เพิ่มเติมดีกว่า และความเครียด การอดหลับอดนอน ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มได้

กลุ่มโรคและปัญหาที่ตามมากับความอ้วนนอกไปจากกลุ่ม เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดหัวใจและสมองแล้ว คนที่น้ำหนักเกินยังเสี่ยงกับปัญหาอื่นๆเหล่านี้ด้วย เช่น sleep apnea นอนกรน หยุดหายใจขณะหลับ ภาวะมีบุตรยากในสตรี ประจำเดือนผิดปกติ ข้อเข่าเสื่อม โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ทางเพศ องคชาติไม่แข็งตัว จิตใจ ห่อเหี่ยว ซึมเศร้า และไม่มีแรงจะทำงาน

การควบคุมน้ำหนัก ต้องเริ่มจากพื้นฐานคือใจ ที่ต้องการ อยากสวย อยากผอม อยากสุขภาพดี และความเข้าใจ ว่าเป้าหมายไม่ได้สำเร็จในวันเดียว หรือเดือนเดียว และความรู้เรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และตัวช่วยเรื่องเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ปลอดภัยในการสลายไขมัน

การควบคุมน้ำหนักทำอย่างไรก็ได้ ให้จำนวนของแคลอรี่ (พลังงานจากอาหาร) ที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน มีความสมดุลกับพลังงานที่ใช้ในกิจวัตรแต่ละวัน ถ้าอยากลดน้ำหนัก ก็ต้องให้พลังงานจากอาหารน้อยลง และพลังงานที่ใช้เพิ่มขึ้น เช่น เดินให้มากขึ้น ออกกำลังกายมากขึ้น ปัจจุบัน มีเครื่องมือช่วย เช่น wearable fitness tool มีหลายยี่ห้อ ไม่ได้โฆษณาแต่ยกตัวอย่าง เช่น nike, fitbit ให้ใส่ไว้ที่ข้อมือ แล้วอุปกรณ์นี้จะช่วยวัดกิจกรรมของเราในแต่ละวัน ยิ่งใครทำงานออฟฟิศ จะทึ่ง ว่าวันๆหนึ่ง เราเดินน้อยขนาดไหน

การสลายไขมันเพื่อกำจัดส่วนเกินเช่นหน้าท้องย้อย อันประกอบด้วยไขมัน ซึ่งก้อนเนื้อไขมันจะใหญ่ (ปริมาตรมาก) แต่น้ำหนักน้อย เมื่อเรากำจัดก้อนไขมันออกไป เราจะดูรูปร่างดีขึ้น เพรียวบางลง สัดส่วนดีขึ้น จากนั้นต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายต่อเนื่องตลอดกาล การกำจัดไขมันส่วนเกินที่ได้ผลดี ชัดเจน มีอยู่ 2 ประเภทหลัก 1) การดูดไขมัน เป็นผ่าตัด ควรปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งเฉพาะทาง ปัจจุบันมีเครื่องมือแพทย์ทันสมัยเรียกว่า Vaser ทำให้บอบช้ำน้อย 2) การสลายไขมัน แบบไม่ผ่าตัด Coolsculpting เพราะเป็นเครื่องมือแพทย์ที่ปลอดภัย ได้ผลลัพธ์ดี และได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาไทยและสหรัฐ FDA cleared ในปัจจุบันมีผู้รับการรักษาแล้วทั่วโลกกว่า 1 ล้านครั้ง

หลักการทำงานของ Coolsculpting

1) แพทย์ติดเครื่องมือ โดยเลือกจาก 4 Applicator ตามบริเวณที่ต้องการสลายไขมัน เช่น ต้นขา หน้าท้อง ด้วยระบบสูญญากาศ

2) ปล่อยความเย็นถึงจุดเยือกแข็งของไขมัน Freeze ไว้ 60 นาที (ถ้าเลือกทำ2 ตำแหน่ง ใช้เวลา 2 ชม. แต่ละตำแหน่งใช้เวลา 1 ชม)

3) เมื่อครบเวลา สิ้นสุดการรักษา ไม่มีบาดแผลใดๆ สามารถอาบน้ำ ออกกำลังกาย ทำกิจวัตรได้ตามปกติ เซลล์ไขมันเกิดการเปลี่ยนแปลงเรียกว่า Crystallization นำไปสู่กระบวนการสลายตัวของเซลล์เรียกว่า Apoptosis และร่างกายค่อยๆ กำจัดเซลล์ที่ตายเหล่านั้นออก จะเริ่มเห็นผลว่าไขมันใต้ผิวหนังบางตัวลงในสัปดาห์ที่ 6 และชัดเจนที่สุดในสัปดาห์ที่ 8 จากรายงานการทดลอง จะบางตัวลงโดยเฉลี่ยที่ 25% เพื่อผลที่พึงพอใจยิ่งขึ้น สามารถทำการรักษาซ้ำที่บริเวณเดิมได้ หรือบริเวณข้างเคียง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๒ บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๗:๓๓ รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๗:๔๔ กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๗:๔๒ ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๗:๑๕ กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๗:๑๕ เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๗:๒๙ สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๗:๑๐ GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๗:๔๓ เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๖:๓๖ เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4