นายวีระ กล่าวต่อไปว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดให้ มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม หมายความว่า ความรู้ การแสดงออก การประพฤติปฏิบัติ หรือทักษะ ทางวัฒนธรรมที่แสดงออกผ่านบุคคล เครื่องมือ หรือวัตถุ ซึ่งบุคคล กลุ่มบุคคล หรือชุมชน ยอมรับและรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมกัน และมีการสืบทอดกันมาจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งโดยอาจมีการปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมของตน โดยมีคณะกรรมการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทั้งในส่วนกลาง กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดดำเนินการร่วมกับชุมชนและทุกภาคส่วนในการส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และให้มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ถ่ายทอดความรู้และการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม
รวมถึงให้มีการขึ้นบัญชีมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ขณะเดียวกัน พระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมและรักษามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมในระดับประเทศ แต่ยังส่งผลสู่ระดับนานาชาติภายใต้อนุสัญญาว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของยูเนสโก ซึ่ง สนช. ได้เห็นชอบให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาดังกล่าวแล้ว โดยกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้ดำเนินการในการลงนาม