นายวีระชัย ศรีขจร ผู้อำนวยการสถาบัน กล่าวว่า "สำหรับการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2558 ที่ผ่านมา สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพฯ ได้จัดทำมาตรฐานอาชีพไปแล้ว 38 สาขาวิชาชีพ เช่น บริการยานยนต์ โลจิสติกส์ ผู้ประกอบอาหารไทย สปา ไอซีที แท็กซี่ ช่างทำผม แมคคาทรอนิกส์ ธุรกิจถ่ายภาพ อุตสาหกรรมการพิมพ์ เป็นต้น พร้อมทั้งจัดตั้งองค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ 67 แห่ง 18 สาขาวิชาชีพ และกระตุ้นเป้าหมายในพื้นที่ผ่านการจัดกิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนร่วมกับองค์กรรับรองฯ ต่าง ๆ ในการสร้างการรับรู้ให้มีผู้เข้ารับการประเมิน โดยที่สถาบันฯ มีความร่วมมือกับหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมาตรฐานอาชีพจะเป็นเครื่องมือในการช่วยเหลือผู้ประกอบการในการคัดเลือกและพัฒนาบุคลากร ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีบุคลากรที่ตรงตามลักษณะงานและวางแผนในการพัฒนาบุคลากร รองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และให้สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม (Demand Driven) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ได้รับใบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ 7,744 คน และมีเป้าหมายพัฒนาระบบฐานข้อมูลการให้บริการคุณวุฒิวิชาชีพได้เต็มรูปแบบในปี 2559"
"ส่วนในภาคการศึกษา สคช.ร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ซึ่งมีทั้งหมด 13 สาขาวิชาชีพ โดยในเบื้องต้น สอศ. ได้นำมาตรฐานอาชีพไปปรับและพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนแล้ว ได้แก่ แมคคาทรอนิกส์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิตอลคอนเท้นต์ บริการยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตแม่พิมพ์ อุตสาหกรรมการพิมพ์ และรถไฟฟ้าความเร็วสูงและระบบราง มาเป็นหลักสูตรนำร่อง เพื่อเตรียมนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ให้พร้อมรับกับการประเมินสมรรถนะวิชาชีพ โดยได้วุฒิการศึกษาและได้คุณวุฒิวิชาชีพพร้อมกัน" ผอ.สคช. กล่าว
ในด้านความร่วมมือกับต่างประเทศ นายวีระชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า "เรามีการพัฒนาระบบคุณวุฒิวิชาชีพร่วมกับต่างประเทศและกลุ่มประเทศอาเซียน อาทิเช่น นิวซีแลนด์ ฮ่องกง เกาหลี ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย โดยการนำมาตรฐานของต่างประเทศมาเปรียบเทียบมาตรฐานอาชีพของไทยเพื่อพัฒนาร่วมกัน ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้วในกลุ่มธุรกิจสปา โลจิสติกส์ ผู้ประกอบอาหาร บริการยานยนต์ และแมคคาทรอนิกส์ ส่วนการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานและองค์กรในประเทศนั้น มีความร่วมมือกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา ในการพัฒนากรอบคุณวุฒิเทียบเคียงอาเซียน (ASEAN Qualifications Referencing Framework) และกรอบคุณวุฒิระดับนานาชาติ (National Qualifications Framework) โดยมีเป้าหมายเพื่อเทียบเคียงคุณวุฒิและสมรรถนะของของบุคลากรไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะส่งผลต่อการเอื้ออำนวยการเคลื่อนย้ายกำลังคนและผู้เรียนในประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน"
ทิศทางการดำเนินงานปี 2559
นายวีระชัย ศรีขจร ผู้อำนวยการสถาบัน เปิดเผยว่า แผนการดำเนินการในปี 2559 สคช. มุ่งเน้นเป้าหมายการรับรององค์กรที่มีหน้าที่รับรองสมรรถนะของบุคคลตามมาตรฐานอาชีพ เพิ่มขึ้นอีก 50 แห่ง และมีบุคลากรในอาชีพเข้ารับการประเมิน 16,000 คน เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายกำลังคนในกลุ่มประเทศอาเซียน
"สคช. ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาครูตามกรอบแนวทางปฏิรูปการศึกษาเพื่อพัฒนาคนอย่างยั่งยืน โดยได้นำร่องจัดทำมาตรฐานอาชีพครูผู้สอนภาษาอังกฤษ ร่วมกับ Auckland University ประเทศนิวซีแลนด์ สถาบันภาษาอังกฤษ สพฐ. และได้นำไปใช้ประเมินครูผู้สอนภาษาที่สอนในสถาบันการศึกษาแล้ว สคช.จึงเดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาการทำมาตรฐานอาชีพครูผู้สอนแมคคาทรอนิคส์ โดยได้ร่วมกับ สอศ. และ Federal Institute of Vocational Training and Education ประเทศเยอรมัน (BIBB) เพื่อจัดทำกรอบในการอบรมครูผู้สอนแมคคาทรอนิคส์ให้มีสมรรถนะแบบสากล นอกจากนี้ ยังร่วมกับ Royal Melbourne Institute of Technology ประเทศออสเตรเลีย (RMIT) เพื่อพัฒนาครูผู้สอนด้านซอฟต์แวร์และโทรคมนาคม ของ มทร.ล้านนา ซึ่งปัจจุบันคาดว่ามีกำลังคนในสาขาวิชาชีพนี้กว่า 5,000 คน และอยู่ในระบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาที่เปิดสอนทั่วประเทศจำนวนมาก"
ผอ.สคช. กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "เราสนับสนุนการผลิตคนให้ทันกับความต้องการของประเทศ โดยเฉพาะในสาขาที่ยังมีความขาดแคลน สถาบันฯ มีแนวทางในการส่งเสริมให้มีการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพซ่อมอากาศยาน โดยประสานความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม สำนักการบินพลเรือน รวมถึงหน่วยงานมาตรฐาน การฝึกอบรม และการประเมินในต่างประเทศ โดยร่วมมือและประสานงานกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลและวิทยาลัยเทคนิค และตั้งเป้าหมายในการพัฒนาคน 200 คน ต่อปี ซึ่งจะมีหลักสูตร 2 ปี และไปฝึกภาคปฏิบัติเพื่อเก็บประสบการณ์ในการสอบ International License เช่น ICAO EASA และ FAA เพื่อให้บุคลากรในอาชีพซ่อมอากาศยานมีมาตรฐานสอดคล้องกับมาตรฐานของ European Aviation Safety Authority (EASA) และ International Civil Aviation Organization (ICAO)"
นอกจากนี้ เราเตรียมการมุ่งเน้นพัฒนามาตรฐานอาชีพที่ตอบสนองระบบเศรษฐกิจ Digital Economy และนโยบาย Cluster อุตสาหกรรมศักยภาพ และ Super Cluster ของฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาล อาทิ อุตสาหกรรมดิจิทัล ยานยนต์ พลังงานทดแทน เกษตรแปรรูป เป็นต้น
"ส่วนสาขาวิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และดิจิตอลคอนเทนต์ หรือไอซีที ถือเป็นสาขาที่ขาดแคลนกำลังคนอย่างมาก ขณะนี้ สคช.กำลังเร่งดำเนินการจัดทำมาตรฐานอาชีพและคุณวุฒิวิชาชีพ 6 กลุ่มสาขาวิชาชีพ เพื่อรองรับบุคลากรซึ่งคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1 ล้านคนในอนาคต โดยได้นำหลักเกณฑ์ของญี่ปุ่น (IPA) และเกาหลีใต้ (IITP) มาเทียบเคียงคุณวุฒิวิชาชีพด้านไอซีทีด้วย ขณะนี้เรามีโครงการประเมินคุณวุฒิวิชาชีพด้าน ไอซีทีกับพนักงานบริษัทเอกชน เพื่อยกระดับความเชี่ยวชาญและความชำนาญการของบุคคลในองค์กรให้มีความพร้อม และทราบศักยภาพของตนเองในการทำงาน หรือเรียกว่า IT Literacy " ผอ.สคช.กล่าว
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระบบคุณวุฒิวิชาชีพ เป็นเรื่องใหม่ในสังคมไทย สคช.จึงดำเนินงานเชิงรุก เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกับคณะกรรมการร่วมกับภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน โดยเฉพาะสถาบันฯ ได้ร่วมกับสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย (PMAT) ในการร่วมกันส่งเสริมให้มีการพัฒนาบุคลากรเพื่อรองรับกำลังคนที่มีคุณภาพตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ รวมถึงการสร้างการรับรู้ให้ผู้ประกอบการและผู้ประกอบอาชีพ มีความสนใจที่จะเข้ารับการประเมินมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้รัฐบาลได้ให้การส่งเสริมโดยสนับสนุนค่าธรรมเนียมในการทดสอบให้กับผู้ประกอบอาชีพ เพื่อให้ได้รับใบรับรองคุณวุฒิวิชาชีพในพัฒนาบุคลากรในองค์กร การสร้างความก้าวหน้าในสายงาน สามารถเพิ่มรายได้และตระหนักถึงความสำคัญของการประเมินมาตรฐานอาชีพ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติต่อไป