พฤติกรรมผู้บริโภคในอีก 12 เดือนข้างหน้าสดใสในภาคเหนือและภาคอีสาน แต่ซึมยาวในภาคกลาง ภาคใต้ และ กทม. เป็นไปตามเม็ดเงินในกระเป๋าของประชาชน โดยพบว่า ประชาชนส่วนใหญทั้งประเทศหรือร้อยละ 65.3 ยังไม่มีแผนใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ เช่น บ้านหลังใหม่ รถยนต์คันใหม่ ตู้เย็นหลังใหม่ ทีวีเครื่องใหม่ เป็นต้น ในขณะที่ ประมาณ 1 ใน 3 ของกลุ่มคนมนุษย์เงินเดือนหรือร้อยละ 34.7 มีความตั้งใจใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่
โดยเฉาพะ กลุ่มคนมีรายได้มากกว่า 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปส่วนใหญ่หรือ ร้อยละ 58.7 ยังคงตั้งใจใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อบ้านหลังใหม่ รถยนต์คันใหม่ ตู้เย็นหลังใหม่ ทีวีเครื่องใหม่ ฯลฯ แต่กลุ่มคนที่รายได้ต่ำกว่า 75,000 บาทต่อเดือนส่วนใหญ่ยังไม่มีความตั้งใจใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้ออะไรในอีก 12 เดือนข้างหน้า
และเมื่อจำแนกออกตามพื้นที่ภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ พบว่า กลุ่มผู้บริโภคที่มีรายได้เกิน 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไปส่วนใหญ่หรือเกินร้อยละ 60 ขึ้นไปในภาคอีสาน ภาคเหนือ และ กทม. ตั้งใจใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ ยกเว้น ภาคกลาง และภาคใต้ที่ถึงแม้ในกลุ่มคนที่มีรายได้สูงกว่า 75,000 บาทต่อเดือนส่วนใหญ่หรือเกินกว่าร้อยละ 70 ขึ้นไปก็ยังไม่มีแผนใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ใดๆ ทั้งสิ้น
ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวต่อว่า ที่น่าเป็นห่วงคือ ผู้บริโภคในภาคเหนือและภาคอีสานไม่ว่าจะมีเงินในกระเป๋ามากหรือน้อยก็ตั้งใจใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ข้อมูลสำรวจครั้งนี้จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาล หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนที่จะเห็นพื้นที่เป้าหมายชัดเจนขึ้นว่า ในภาคอีสานและภาคเหนือจะมีการใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ของประชาชนในอีก 12 เดือนข้างหน้า ในขณะที่ ภาคกลาง และภาคใต้ ต้องมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายเงินของประชาชนเพราะถึงแม้คนมีเงินมากในภาคกลางและภาคใต้เหล่านี้ส่วนใหญ่ยังไม่กล้าใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ในอีก 12 เดือนข้างหน้า ส่วนผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครพบว่า การใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ของประชาชนจะเป็นไปตามเม็ดเงินในกระเป๋าของประชาชน คือ คนมีเงินมากก็จะใช้จ่ายเงินมากตามไปด้วย
"ที่น่าเป็นห่วงคือ ความตั้งใจใช้จ่ายเงินของคนภาคเหนือและภาคอีสาน เพราะไม่ว่าเม็ดเงินในกระเป๋าของตนเองจะมีมากหรือน้อย ก็ตั้งใจจะใช้จ่ายเงินก้อนใหญ่ที่อาจจะเกินตัวเกินกำลังไปก่อหนี้เสียหายต่อตัวเองและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแบบพวกไม่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจซื้อที่เรียกว่าเป็นพวก Irrational Consumers โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ที่การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคมักจะเป็นไปตามฝูงชนที่กด LIKE บนโลกเสมือนจริงที่แชร์ต่อๆ กัน แทนพฤติกรรมไตร่ตรองจากการเก็บข้อมูลและประเมินอย่างมีสติให้ครบถ้วนรอบด้านตามกำลังซื้อของตนของพวกมีเหตุมีผลแบบ Rational ผลที่ตามมาก็คือ ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยที่ตัดสินใจซื้อสินค้าตามยอดกด LIKE กลายเป็นผู้ตัดสินใจซื้อแบบขี้เกียจคิดมาก ใช้จ่ายเกินตัว เศรษฐกิจขยายตัวแบบฟองสบู่และไม่ยั่งยืน จึงเป็นเรื่องน่าคิดโจทย์ใหญ่ของผู้กำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปพิจารณาผลสำรวจครั้งนี้ให้ลึกซื้งวางยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศที่ยั่งยืนต่อไป" ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าว
ดร.นพดล กรรณิกา โทร. 087.33.555.99 โทร. 095.471.4444
ประธานชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อความสุขชุมชน สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล (SUPER POLL)
โทร 02.136.9287 หรือ 02.308.0444www.superpollthailand.net