เด็กและวัยรุ่นจะมีแนวโน้มเป็นคนก้าวร้าว ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาหรือไม่นั้น สังเกตได้จาก เด็กที่ชอบก่อกวน โหดร้ายทารุณสัตว์ ชกต่อย ทำร้ายร่างกายตนเองและผู้อื่น ทำลายข้าวของ ขู่คุกคาม ไม่เคารพกฎระเบียบต่างๆ ตลอดจน เด็กที่เก็บตัว เก็บกด ไม่เคยได้ระบายความรู้สึกออกมาอย่างเหมาะสม ทุกฝ่ายจึงต้องร่วมมือกันลดและแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง โดย อาจแบ่งกลุ่มเด็กออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นปัญหามาก เป็นหัวโจก ปลุกระดมกับกลุ่มเด็กปกติหรือกลุ่มเด็กที่มีแนวโน้มจะก่อความรุนแรง ซึ่งเด็กกลุ่มแรกอาจต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายมาช่วยแก้ เพื่อให้เด็กเกิดการยอมรับว่าเขาทำผิด ก็ต้องได้รับผลจากการกระทำความผิดนั้น ซึ่งในระบบกฎหมายจะมีเรื่องการฟื้นฟูจิตใจให้ดีขึ้น ทั้งการปรับพฤติกรรมและอารมณ์ เพื่อให้ผู้กระทำผิดออกมาเป็นคนดีของสังคม ขณะที่ครอบครัว ชุมชน สังคม ก็ต้องให้การยอมรับ ไม่ตีตรา ตอกย้ำ ดูถูกเหยียดหยามถึงความผิดของพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีโอกาสปรับตัว กลับมาเป็นคนดีของสังคมได้ ส่วนเด็กกลุ่มปกติหรือมีความเสี่ยง ควรมีการส่งเสริม ป้องกัน มีพื้นที่ให้ทำกิจกรรมเสริมสร้างคุณค่าให้ตัวเอง ใช้พลังขับด้านความรุนแรงที่มีอยู่ในตัวทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์และมีประโยชน์ให้มากที่สุด ที่สำคัญ ควร ฝึกสติ ให้กับพวกเขา เพื่อช่วยให้ รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง สามารถยับยั้งชั่งใจ ควบคุมอารมณ์ และพฤติกรรมที่อาจนำไปสู่การกลายเป็นปัญหาของสังคมได้ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าว
ด้าน พญ.มธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าวย้ำว่า ความรุนแรงในเด็ก มักมีสาเหตุเสมอและมักเกิดกับคนใกล้ชิด สัญญาณเตือนที่สังเกตได้ง่ายๆ ก่อนเกิดเหตุ คือ "แววตา วาจา และสัมผัส" ที่แตกต่าง หากเจออาการแบบนี้ให้หลีกเลี่ยงและใช้สติในการจัดการ สำหรับแนวทางป้องกัน ใน ระดับครอบครัว พ่อแม่ต้องรักลูกให้ถูกทาง แสดงความรักต่อลูกอย่างถูกต้องเหมาะสมในทางที่ถูกที่ควร เปิดใจ คุยปัญหาได้ทุกเรื่อง อบรมให้ลูกสามารถแยกแยะผิดถูก ชั่วดีได้ ตลอดจน สอดส่องพฤติกรรมและดูแลลูกอย่างใกล้ชิดให้มากขึ้น ระดับสถานศึกษา ครูอาจารย์ ต้องเป็นเหมือนพ่อแม่อุปถัมภ์ ที่สามารถเปิดใจคุยปัญหาได้ทุกเรื่อง ติดตามเยี่ยมบ้านอย่างใกล้ชิด เฝ้าระวังเด็กที่เริ่มมีผลการเรียนตกต่ำ หรือใช้สารเสพติด ปลูกฝังความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สนับสนุนให้เกิดระบบเพื่อนช่วยเพื่อน เตือนกันเมื่อเพื่อนจะทำผิด ชักจูงให้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ส่งเสริมให้ทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ที่เกิดจากความต้องการของเด็กเอง เพื่อให้พวกเขารู้สึกได้ถึงความมีคุณค่าในตนเอง เกิดการยอมรับในกลุ่มเพื่อน ได้ระบายออกถึงแรงขับความรุนแรงที่มีอยู่ภายในอย่างสร้างสรรค์ ตลอดจน จัดกิจกรรมปรับพฤติกรรม เสริมทักษะชีวิต พัฒนา EQ โดยเฉพาะ การฝึกสติ ให้กับพวกเขา ซึ่ง สถานศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งได้มีการนำสติไปใช้ พบว่า การฝึกสติ มีความสำคัญและจำเป็นต่อกระบวนการเรียนรู้ของเด็กและวัยรุ่นในโรงเรียน ส่งผลให้เส้นใยสมองของเด็กหนาตัวขึ้น มีการเชื่อมโยงและส่งต่อภายในระบบโครงสร้างสมองมากขึ้น ตลอดจนเด็กมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พฤติกรรมและพัฒนาการทางด้านต่างๆ ดีขึ้นในทุกด้านอีกด้วย
วิธีง่ายๆ ให้เด็กๆ ได้ลองฝึก คือ อยู่กับลมหายใจหรืออารมณ์ที่มีอยู่ รับรู้ว่าตอนนี้มีอารมณ์แบบใด ถ้าเป็นอารมณ์ด้านลบ ก็ให้พยายามขจัดมันออกไป ซึ่งการรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง จะช่วยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวที่มีน้อยลงไปด้วย ผอ.สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กล่าว