นางสาวสุธิดา กาญจนกันติกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แมนพาวเวอร์กรุ๊ป (ประเทศไทย) กล่าวว่าจากงานวิจัยเรื่อง "อิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่มีต่อคนทำงานในองค์กร" โดยได้ทำการศึกษาในช่วงปี พ.ศ. 2559 จากจำนวนกลุ่มคนทำงานทั้งสิ้น 1,208 คน โดนแบ่งเป็นเพศชาย 39.33 เปอร์เซนต์ และเป็นเพศหญิง 60.47 เปอร์เซนต์ โดยมีอายุระหว่าง 21-23 ปี รองลงมา 40.18 เปอร์เซนต์ อายุระหว่าง 17-20 ปี โดยมีระดับการศึกษาสูงสุดหรือกำลังศึกษาอยู่คือ กลุ่มปริญญาตรี 63.8 เปอร์เซนต์ มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาแรงงานในตลาดประเทศไทย แบ่งได้เป็น 4 หัวข้อ ดังนี้
1. พฤติกรรมการใช้สื่อโซเชียลมีเดียของคนทำงานในองค์กร พบว่ากลุ่มตลาดแรงงานในประเทศไทยยังคงใช้ Facebook เป็นอันดับต้นๆ คิดเป็น 90.98 เปอร์เซนต์ รองลงมาอันดับที่ 2 คือกลุ่มที่ใช้ Line คิดเป็น 88.82 เปอร์เซ็นต์ส่วนอันดับที่ 3 คือ Youtube คิดเป็น 61.51 เปอร์เซ็นต์ จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะใช้เวลากับโซเชียลมีเดียทุกวันและในแต่ละครั้งจะใช้เวลาไม่เกิน2 ชั่วโมง และผลการสำรวจยังพบอีกว่าช่วงเวลาที่ใช้ระหว่างวันมากที่สุดคือ ช่วงก่อนเข้านอน 68.96 เปอร์เซนต์ รองลงมา คือช่วงพักกลางวัน 54.47 เปอร์เซนต์ และวันที่มีการใช้โซเชียลมีเดียมากที่สุดคือ วันธรรมดา รองลงมาคือ วันเสาร์และวันอาทิตย์ และส่วนใหญ่ใช้ผ่านช่องทางสมาร์ทโฟนเป็นหลัก
2. สาเหตุของการใช้โซเชียลมีเดียในที่ทำงาน ส่วนใหญ่ใช้ศึกษาค้นคว้าข้อมูล ติดตามข่าวสารในชีวิตประจำวัน อันดับ 2 ใช้เพื่อการติดต่อ ส่งข้อความ และอับดับที่ 3 เพื่อหาความบันเทิงข่าวสารแทนทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งหากวิเคราะห์พฤติกรรมจะเห็นว่ากลุ่มคนทำงานได้ปรับเปลี่ยนการรับข่าวสาร โดยใช้เวลากับโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทดแทนการใช้เวลากับสื่อหลัก เช่น ทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์อย่างชัดเจน
3. ข้อดีและข้อเสียของการใช้โซเชียลมีเดียของคนทำงานในองค์กร คือ ข้อดี ที่เห็นได้อย่างชัดเจน กลุ่มคนทำงาน "สามารถใช้ในการสื่อสารข้อมูลถึงผู้คนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและสะดวก" ข้อเสีย คือ การใช้โซเชียลมีเดียจะทำให้เกิดความไม่ระมัดระวังในการใช้งาน ขาดการกลั่นกรองด้านความถูกต้อง ข้อมูลที่ได้รับอาจไม่เป็นความจริงและอาจเกิดผลเชิงลบได้
4. ทัศนคติในการใช้โซเชียลมีเดียของคนทำงานในองค์กร คนส่วนใหญ่มีทัศนคติในเชิงบวกต่อภาพรวมในการใช้โซเชียลมีเดียในสถานที่ทำงาน แต่ยังไม่เห็นด้วยกับอิทธิพลของโซเชียลมีเดียต่อการสร้างผ่อนคลาย การสร้างสมาธิความตั้งใจในการทำงาน รวมถึงไม่มีผลต่อการใช้เพื่อโฆษณาหน่วยงานสินค้าหรือบริการ และการส่งเสริมการขายในองค์กร หน่วยงานของตนเอง
ในด้านการเตรียมความพร้อมรับมือ แรงงานในยุคโซเชียลมีเดีย สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ คือ
ระดับคนทำงาน ที่มีความพร้อม ความสามารถในการสืบค้นหาและสร้างข่าวสารได้ด้วยตนเอง แต่ควรระวังกับข้อมูลข่าวสารที่ขาดความน่าเชื่อถือ หากคนทำงานใช้สื่อและส่งต่อสิ่งที่ผิดพลาด สิ่งที่สะท้อนออกไปคือทัศนคติและบุคลิกภาพเชิงลบของตนเอง ควรใช้ข้อดีจากการที่มีข้อมูลอยู่กับตัวในการสื่อสารและสร้างตัวตนของตัวเองอย่างชาญฉลาด เพื่อการสร้างโอกาสที่เหมาะสมกับตนเอง
ระดับองค์กร ต้องมีแผนขับเคลื่อนคน เปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารขององค์กรให้สอดคล้องกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดีย ควรกำหนดนโยบายที่สอดคล้องกับศักยภาพบุคลากรภายในองค์กร สร้างแรงจูงใจในการทำงานสอดคล้องกับพฤติกรรมความต้องการของคนทำงานมากขึ้น พร้อมให้ค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์ต่างออกไปจากรูปแบบเดิม กำหนดนโยบาย เงื่อนไขการทำงานพร้อมรับฟังความคิดที่แตกต่าง ฝ่าย HR ภายในองค์กรต้องพร้อมและมีความแม่นยำต่อข้อมูลที่จะตอบคำถาม สนับสนุนนโยบายต่างๆ ขององค์กรอย่างน่าเชื่อถือ (HR from Outside-In)
ระดับภาครัฐ ควรมีการปรับโครงสร้างตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ภาคการศึกษา งานวิจัย การลงทุน ภาษาที่สาม รวมถึงทิศทางตลาดแรงงานที่ต้องมีความสมดุล สอดคล้องกับหลักสูตร อีกทั้งการกำหนดนโยบาย กฎหมายหรือระเบียบข้อปฏิบัติควรเป็นไปในเชิงการให้การสนับสนุน เปิดช่องทางอย่างเต็มที่ อาทิ องค์กรขนาดเล็ก หรือฟรีแลนซ์ สามารถสร้างธุรกิจและงานสร้างสรรค์ของตนเองได้โดยไม่ติดเงื่อนไขมากมาย อันจะส่งผลให้เกิดการขับเคลื่อนในทุกภาคส่วน จนเกิดการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่ เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม นางสาวสุธิดา กล่าวสรุป