ทั้งนี้ กรมชลประทานได้มีการจำลองสถานการณ์น้ำในเขื่อนในช่วงฤดูฝนตั้งแต่ พ.ค. 60 โดยเปรียบเทียบกับช่วงฤดูฝน ปี 59 ที่ผ่านมา ซึ่งสัปดาห์หน้าจะมีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ GISTDA กรมอุตุนิยมวิทยา กรมทรัพยากรน้ำ สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน) และกรมชลประทาน เพื่อศึกษาสถานการณ์จำลองของแต่ละหน่วยงานร่วมกัน และให้เป็นฐานข้อมูลที่ตรงกันในการบริการจัดการน้ำช่วงฤดูฝนนี้ สำหรับสถานการณ์น้ำในช่วงวันที่ 11 – 12 ก.พ. ที่ผ่านมา พบว่า น้ำทะเลยกตัวสูงขึ้น ส่งผลให้รุกล้ำเข้ามาในพื้นที่อ่าวไทย จึงได้สั่งการให้กรมชลประทานจัดตั้งศูนย์ควบคุมประสานงาน เพื่อประเมินสถานการณ์และคำนวณระยะเวลาการผลักดันน้ำจากเขื่อนว่าจะใช้เวลาเท่าไร อีกทั้งต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบเพื่อประสานงานกันอย่างใกล้ชิด
นายทองเปลว กองจันทร์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการติดตามสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูงในแม่น้ำเจ้าพระยาและในภาคใต้มีคลื่นลมแรง ส่งผลให้น้ำทะเลยกสูงถึง 30 – 40 ทำให้ความเค็มรุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำเจ้าพระยา วัดค่าความเค็มได้ 0.50 กรัมต่อลิตร (น้ำที่ใช้ในการผลิตประปามีค่าความเค็มได้ไม่เกิน 0.50 กรัมต่อลิตร) ยังไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำดิบผลิตประปา อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันไม่ให้ความเค็มรุกล้ำเพิ่มขึ้น กรมชลประทานได้เพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มจาก 70 เป็น 75 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนพระรามหก จาก 30 เป็น 45 ลบ.ม. ต่อวินาที ส่งผลให้ค่าความเค็มบริเวณปากคลองสำแลไม่เกินเกณฑ์มาตรฐานในการผลิตน้ำประปา นอกจากนี้ ยังใช้ประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในการผลักดันน้ำเค็ม โดยในช่วงน้ำทะเลลงจะเปิดบานระบายเพื่อเร่งระบายน้ำเค็มลงสู่ทะเลให้เร็วขึ้น และในช่วงน้ำขึ้นจะปิดบานระบาย สำหรับแม่น้ำท่าจีน ได้เพิ่มการระบายน้ำจากเขื่อนแม่กลอง ผ่านคลองท่าสาร-บางปลา จากเดิม 30 เป็น 45 ลบ.ม. ต่อวินาที พร้อมระบายน้ำผ่านประตูระบายน้ำโพธิ์พระยา ในอัตรา 20 ลบ.ม. ต่อวินาที เพื่อผลักดันความเค็มดังกล่าว และทำการปิดประตูระบายน้ำปากคลองต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำท่าจีน เพื่อไม่ให้น้ำเค็มรุกล้ำเข้า โดยจะเปิดรับน้ำเข้าไปกักเก็บ เมื่อค่าความเค็มลดต่ำลงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้