เกษตรกรไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากการไม่ได้ผลผลิตตามที่ตั้งไว้และอาจจะส่งผลกระทบต่อรายได้ต่าง ๆ ของพวกเขา หากไม่สามารถใช้ไกลโฟเสตเพื่อการเกษตรได้อีกต่อไป ในกรณีที่เกิดการสูญเสียผลผลิตจากการผลิตร้อยละ 5 จะส่งผลให้ปริมาณการผลิตอาหารลดลงไปถึง 1 ล้านตัน อันนำมาซึ่งการสูญเสียรายได้ของเกษตรกรถึง 231 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี ในส่วนของยางพารา ผลไม้เมืองร้อน รวมทั้งปาล์มน้ำมันที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
จากรายงาน "ประโยชน์ของสารไกลโฟเสตต่อการเกษตรกรรมในประเทศไทย และผลกระทบต่าง ๆ ในการจำกัดการใช้สารชนิดนี้" ระบุว่า การใช้ตัวควบคุมวัชพืชอื่น ๆ แทนการใช้ไกลโฟเสตนั้น จะส่งผลโดยตรงต่อค่าใช้จ่ายที่ใช้ในการควบคุมวัชพืชของเกษตรกร โดยเฉลี่ยที่ 26 เหรียญสหรัฐฯ ต่อเฮคเตอร์ หรือประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อปี
มร. เกรแฮม บรู้คส์ ผู้อำนวยการของ PG Economics กล่าวว่า "ไกลโฟเสตถือว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญต่อเกษตรกรไทย ซึ่งมีการใช้กันอย่างแพร่หลายถึงร้อยละ 33 ไกลโฟเสตเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในพืชผลทางเศรษฐกิจทั้งหลาย อาทิ ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และผลไม้เมืองร้อน โดยใช้สำหรับการเตรียมหน้าดินและในการควบคุมวัชพืช ทั้งนี้ ไกลโฟเสตยังเคยเป็นสารกำจัดวัชพืชที่สำคัญที่สุดในการปลูกปาล์มน้ำมัน (ร้อยละ 79 ของสารกำจัดวัชพืชที่ใช้ทั้งหมด) และในยางพารา (ร้อยละ 81 ของสารกำจัดวัชพืชที่ใช้ทั้งหมด) และยังเป็นสารกำจัดวัชพืชในการปลูกข้าว ข้าวโพด อ้อย และมันสำปะหลังอีกด้วย"
"ในกรณีของเกษตรกรบางรายที่ใช้ไกลโฟเสตในการปลูกพืชไร่ เช่นข้าวโพดและข้าวนั้น ผลกระทบหลักของการถูกจำกัดการใช้สารนี้ จะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นในการเตรียมพื้นดินที่จะปลูก ไม่สามารถควบคุมวัชพืชได้ทั่วถึง รวมทั้งเตรียมดินเพื่อการปลูกโดยมีประสิทธิภาพน้อยลง และส่งผลต่อปริมาณผลผลิตที่จะต่ำลงด้วย"
"หากไม่มีการอนุญาตให้ใช้ไกลโฟเสตแล้ว เกษตรกรคงต้องใช้แรงงานเพิ่มขึ้น เพื่อกำจัดวัชพืชด้วยแรงงานคนและเครื่องมือเครื่องจักรต่าง ๆ ซึ่งความต้องการแรงงานที่เพิ่มขึ้นนี้ เป็นเรื่องใหญ่และหาไม่ได้ง่าย ๆ"
"การศึกษาวิจัยนี้ยังเผยให้เห็นว่า ประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อมบางอย่างอาจสูญเสียไป เช่น การลดการไถพรวนหรือไถพรวนเชิงอนุรักษ์ที่เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและข้าวบางรายใช้ ซึ่งช่วยลดการสึกกร่อนของดิน เก็บกักน้ำได้มากขึ้น และปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง ซึ่งหากเกษตรกรทั้งหลายที่กำลังใช้การไถพรวนเชิงอนุรักษ์ ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากไกลโฟเสตในการควบคุมวัชพืชได้อีกต่อไป พวกเขาก็ระบุว่าจะกลับมาใช้วิธีการการไถพรวนแบบเดิม" มร. บรู้คส์ กล่าว
ไกลโฟเสตนับเป็นพัฒนาการครั้งสำคัญสำหรับเกษตรกรทั่วโลก และเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่เกษตรกรไทยในการปกป้องพืชผลจากการรุกรานของวัชพืช และยังช่วยให้สามารถผลิตอาหารที่มีคุณภาพ ที่ปลอดภัย ในราคาที่ซื้อหาได้ ทั้งนี้ ได้มีการใช้ไกลโฟเสตอย่างปลอดภัยมาเป็นเวลากว่า 40 ปี และมีการรับรองให้ใช้ได้ใน 160 ประเทศทั่วโลก
ในด้านการประเมินความปลอดภัยต่าง ๆ ถือได้ว่าไกลโฟเสตเป็นสารที่มีการทดสอบอย่างเข้มข้นจริงจังที่สุดในบรรดาสารกำจัดวัชพืชทั้งหลาย ซึ่งหลังจากการประเมินต่าง ๆ มาตลอด 40 ปี ยังไม่พบว่ามีหน่วยงานกำกับแห่งใดในโลกที่พิจารณาว่าไกลโฟเสตเป็นสารก่อมะเร็ง โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หน่วยงานกำกับทั้งในสหภาพยุโรป เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ แคนาดา และสหรัฐอเมริกา ต่างประกาศยืนยันแล้วว่า ไกลโฟเสตมิสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง