นายวีระ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมกำชับให้แต่ละกรมไปรวบรวมองค์ความรู้ด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรมในทุกสาขาที่เป็นมรดกของแผ่นดินและจัดพิมพ์เป็นหนังสือเผยแพร่สู่สังคมไทยในปีนี้ และมอบหมายให้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) รวบรวมข้อมูลเรื่องการส่งเสริมการแต่งกายด้วยผ้าไทย รายได้จากผ้าไทย และโรงเรียนที่ส่งเสริมการแต่งกายด้วยผ้าไทย รวมถึงจัดทำแผนงานเพื่อส่งเสริมในเรื่องนี้ อีกทั้งให้ประสานงานกับหน่วยงานสังกัดกระทรวงคมนาคม อาทิ กรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท เป็นต้นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดทำป้ายบอกทางไปยังสถานที่ตั้งต้นไม้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นรุกขมรดกแห่งแผ่นดินในจังหวัดต่างๆ และให้กั้นบริเวณต้นไม้ไว้เพื่อเป็นการอนุรักษ์ รวมถึงจัดให้มีจุดแจกต้นไม้ พื้นที่ตั้งร้านจำหน่ายสินค้าทางวัฒนธรรมและสินค้าเกษตร จัดให้มีที่จอดรถและห้องน้ำเพื่อสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ตามนโยบายรัฐบาล
นายวีระ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกัน ที่ประชุมรับทราบรายงานจาก สวธ.ความคืบหน้าการส่งเสริมให้เด็ก เยาวชนไทยสามารถเล่นดนตรีไทย หรือดนตรีสากลได้อย่างน้อย 1 ชิ้น หรือแสดงนาฏศิลป์ได้ตามข้อสั่งการของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี โดยสวธ.ได้เริ่มดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับสภาพและแนวทางในการจัดการทรัพยากรดนตรีศึกษาในสถานศึกษาของประเทศไทย อาทิ จำนวนครูผู้สอนและเครื่องดนตรี จำนวนบริษัทผู้ผลิตและร้านค้าที่จำหน่ายเครื่องดนตรีไทย เครื่องดนตรีสากล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้ให้สวธ.เพิ่มเติมประเด็นการวิจัย โดยให้สำรวจสถานศึกษาที่เปิดสอนด้านดนตรีไทย ดนตรีสากลและศิลปวัฒนธรรมทั้งในระบบและนอกระบบการศึกษา และระหว่างนี้ สวธ.ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมคู่ขนานกัน อาทิ อบรมพัฒนาครูผู้สอนดนตรีไทยในภาคต่างๆ การคัดเลือกเยาวชนต้นแบบดนตรีไทย การจัดให้มีโรงเรียนนำร่องสอนดนตรีไทย 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นต้น พร้อมกันนี้ที่ประชุมได้ให้สวธ.ศึกษาแนวทางการให้รางวัลแก่ศิลปินไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงในการแข่งขันทางศิลปวัฒนธรรมระดับนานาชาติเช่นเดียวกับนักกีฬาทีมชาติไทย
นอกจากนี้ ที่ประชุมกำชับให้สวธ.ร่วมกับสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์(สบศ.) และกรมศิลปากร(ศก.) เร่งจัดทำหลักสูตรและส่งบุคลากรไปสอนอาชีพด้านศิลปวัฒนธรรม อาทิ การแสดงโขน นาฏศิลป์ ร้องเพลงให้เยาวชนในสถานพินิจใน 4 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพฯเชียงใหม่ ขอนแก่นและสงขลา ทั้งนี้ เบื้องต้นจะนำร่องใน 2 จังหวัด คือ กรุงเทพฯและเชียงใหม่ โดยดำเนินการในสถานพินิจจังหวัดละ 1 แห่ง รวมถึงให้ ศก.และ สบศ.บูรณาการความร่วมมือกับกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ดำเนินโครงการส่งเสริมให้มีห้องสมุดภายในสถานพินิจทั่วประเทศ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ของสถานพินิจอีกด้วย