แพทย์หญิงวริศรา ตันยิ่งยง อายุรแพทย์โรคผิวหนัง สถาบันสุขภาพและความงามตรัยญา โรงพยาบาลปิยะเวท เปิดเผยว่า "แสงแดดจะมีรังสีที่ส่งผลกระทบต่อผิวหนังมากๆ คือรังสี UVA (ยูวีเอ) และรังสี UVB (ยูวีบี) ซึ่งรังสี UVA (ยูวีเอ) เป็นรังสีที่สามารถแทรกซอนถึงผิวชั้นลึกๆ หรือผิวหนังชั้นล่างได้ โดยทำลายเนื้อเยื่อและดีเอ็นเอของเซลล์ผิว เป็นตัวทำลายคอลลาเจนและความชุ่มชื้นของผิวหนัง ทำให้ผิวแห้งจนเกิดริ้วรอยลึกหรือผิวเหี่ยวย่น ส่วนรังสี UVB (ยูวีบี) เป็นรังสีสามารถทะลุได้ถึงชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น จึงทำให้ผิวหนังแดงหรือผิวไหม้แดด ซึ่งเป็นตัวการหลักทำให้สีผิวของเราหมองคล้ำ มะเร็งผิวหนัง ทำให้เกิดปัญหาฝ้า กระ ดังนั้น การป้องกันด้วยการทาครีมกันแดด สวมแว่นตา ใส่หมวก กางร่ม ก็จะช่วยปกป้องได้
ปัจจุบันครีมกันแดดในท้องตลาดมีให้เลือก 3 ประเภทด้วยกัน คือ 1.ครีมกันแดดชนิด Chemical Sunscreen (เคมีคอล ซันสกรีน) เป็นครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของสารเคมี ทำหน้าที่ในการปกป้องแสงแดด เมื่อได้รับรังสียูวีเข้าไป ก่อให้เกิดสารใหม่ที่ทำให้ผิวหนังระคายเคือง แพ้ ผื่นคัน ซึ่งพบบ่อยในคนที่ผิวหนังแพ้ง่าย 2.ครีมกันแดดชนิด Physical Sunscreen (ฟิสิคอล ซันสกรีน) จะมีส่วนผสมหลักของสาร Titanium Dioxide และ Zinc Oxide ที่สามารถสะท้อนรังสี UVAและ UVB ที่ตกกระทบให้ออกไปจากผิวหนังได้ เหมาะกับกลุ่มคนที่มีผิวแพ้ง่าย และ 3.ครีมกันแดดชนิดผสม Chemical-Physical Sunscreen"
แพทย์หญิงวริศรา กล่าวเพิ่มเติมว่า "สาร Titanium Dioxide (ไททาเนียม ไดออกไซด์) และ Zinc Oxide (ซิงก์ ออกไซด์) ที่อยู่ในครีมกันแดดชนิดPhysical Sunscreen (ฟิสิคอล ซันสกรีน) นั้น จัดอยู่ในประเภทปลอดภัย เพราะทำหน้าที่สะท้อนรังสียูวีออกจากผิวหนังทันทีที่รังสีตกกระทบ กลไกหลักคล้ายคลึงกับการที่คนเราใส่เสื้อผ้า คือทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังจากแสงแดดโดยการไปเคลือบที่ผิวหนัง เมื่อมีรังสี UV (ยูวี) ตกกระทบ ก็จะถูกสะท้อนออกทันที สารดังกล่าวเป็นสารกันแดดที่ปลอดภัย เพราะทำหน้าที่เพียงเคลือบที่ผิวหนังเท่านั้น และสามารถถูกชะล้างออกไปเมื่อเราล้างหน้าหรืออาบน้ำ ที่สำคัญครีมกันแดดชนิดPhysical Sunscreen (ฟิสิคอล ซันสกรีน) ยังป้องกันเกิดเม็ดสีผิว ต้นเหตุของฝ้า กระ จุดด่างดำ ปกป้องการทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ต้นเหตุของริ้วรอย และไม่ทิ้งสารเคมีไว้บนผิวหน้า และไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิว จึงเป็นครีมกันแดดที่เหมาะกับผิวบอบบาง แพ้ง่าย สตรีมีครรภ์ รวมถึงผิวหลังทำเลเซอร์ ผิวบริเวณรอบดวงตา และที่สำคัญครีมกันแดดชนิด Physical Sunscreen (ฟิสิคอล ซันสกรีน) ยังเป็น Non-Comedogenic ไม่ก่อให้เกิดสิวอีกด้วย"
ส่วนการเลือกใช้ครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพนั้น แพทย์หญิงวริศรา แนะนำว่า "ควรจะทดสอบการแพ้ครีมกันแดดก่อนใช้เสมอ ด้วยการนำครีมกันแดดมาทาใต้ท้องแขน แล้วสังเกตว่ามีอาการบวมแดงหรือไม่ ถ้ามีอาการดังกล่าวแสดงว่าเราแพ้สารเคมีจากครีมกันแดดชนิดนั้นๆ จากนั้นดูสภาพผิวของแต่ละคนด้วยว่าเป็นประเภทไหน เช่น ถ้าเป็นคนที่มีผิวแพ้ง่าย แนะนำว่าควรใช้ครีมกันแดดชนิด Physical Sunscreen (ฟิสิคอล ซันสกรีน) ซึ่งปัจจุบันมีครีมที่ดี เนื้อครีมละเอียด เกลี่ยได้ง่ายขึ้น ทาแล้วไม่ขาววอก ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ตั้งแต่ SPF 30 ขึ้นไป ในกรณีที่ต้องตากแดดเป็นเวลานานติดต่อกัน และให้ใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 ในกรณีที่ทำงานอยู่แต่ในร่ม และควรทาครีมกันแดดปริมาณ 2 มิลลิกรัมต่อเนื้อที่ผิวหนัง 1 ตารางเซนติเมตร หรือเท่ากับปริมาณเหรียญ 10 บาท หรือ 2 ข้อนิ้วมือ โดยทาให้ทั่วทั้งใบหน้าไปถึงลำคอ และด้านหลังที่ไม่มีอะไรปกปิด ส่วนการทาครีมกันแดดบริเวณผิวหนังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น แขน ขา ให้เลือกใช้ครีมกันแดดสำหรับทาตัวโดยเฉพาะ และการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของครีมกันแดดเพียงอย่างเดียว อาจจะมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ เท่ากับการทาครีมกันแดดในปริมาณที่เหมาะสม"
ปัจจุบัน สมูทอี ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์เวชสำอางดูแลรักษาผิว ได้พัฒนานวัตกรรมใหม่ล่าสุดของครีมกันแดด SmoothE Physical Sunscreen SPF 50+ PA+++ พัฒนาโดยนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ ปราศจากสารกันแดดชนิดเคมี ช่วยสะท้อนรังสีออกหมด ไม่ทิ้งสารตกค้าง ไม่ทำให้เกิดสิว ลดการเกิดผิวหมองคล้ำ ฝ้า กระ จุดด่างดำ ริ้วรอย สีผิวคล้ำ และไม่สม่ำเสมอ ที่เกิดจากรังสี UV (ยูวี) ปลอดภัยต่อผิวบอบบาง แพ้ง่าย เป็นสิวง่าย และผิวจากการทำเลเซอร์ สามารถใช้ได้ในบริเวณที่ผิวบอบบาง แพ้ง่าย เช่น รอบดวงตา ผิวเด็กเล็ก และหญิงตั้งครรภ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อเป็นการปกป้องผิวจากแสงแดด ดังนั้น การเลือกใช้ครีมกันแดด ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้า เลือกใช้แบรนด์ที่เชื่อถือได้ มีการทดสอบค่าSPF และผ่านการทดสอบ Hypo-Allergenic แล้วว่า ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง ไม่แสบตา จึงจะมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย