สถานการณ์ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและแนวทางแก้ไข

จันทร์ ๑๔ พฤษภาคม ๒๐๑๘ ๑๒:๔๕
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดีขึ้นมากนักแม้นการกระจายรายได้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ส่วนปัญหาความเหลื่อมล้ำของการถือครองทรัพย์สินและความมั่งคั่งยังคงรุนแรงขึ้นในไทย ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นมีมาก จำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อลดอำนาจผูกขาดและเพิ่มการแข่งขัน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงปัจจัยการผลิต เพิ่มสวัสดิการ ลดการรั่วไหลและการทุจริตงบประมาณช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ปฏิรูปภาษีด้วยการเพิ่มภาษีทรัพย์สิน ดำเนินการผ่านกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ค้างอยู่ใน สนช การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐต้องคำนึงถึงการกระจายโอกาสและการกระจายผลประโยชน์ไปยังประชาชนส่วนใหญ่ด้วย และ ควรศึกษาการเก็บภาษีลาภลอย

15.30 น. 13 พ.ค. 2561 ที่ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต

คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป

ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่ดีขึ้นมากนักแม้นการกระจายรายได้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากงานวิจัยของ ศ. ดร. ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์และคณะ พบว่า ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ดีขึ้นเล็กน้อยโดยวัดจากดัชนีจินี โดยค่าดัชนีจินีเท่ากับ 0.45 ในปี พ.ศ. 2558 (ข้อมูลล่าสุดที่มีการคำนวณ) จากที่เคยอยู่ที่ระดับ 0.51 ในปี พ.ศ. 2549 (ดัชนีจีนีเข้าใกล้ 1 แสดงว่าความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เข้าใกล้ 0 ความเหลื่อมล้ำลดลง ค่า 1 คือ ความเหลื่อมล้ำมากที่สุด ค่า 0 คือไม่มีความเหลื่อมล้ำเลย) สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

การที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ตนเห็นว่าเป็นผลมาจากนโยบายและมาตรการต่างๆของหลายรัฐบาลที่ผ่านมาโดยเฉพาะนโยบาย "เอื้อคนจน" (Pro-poor policy) ไม่ว่า จะเป็นการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำแบบก้าวกระโดด นโยบายแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรทั้งมาตรการรับจำนำข้าว มาตรการประกันราคา การเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ บทบาทของกองทุนหมู่บ้าน นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สวัสดิการทางด้านการศึกษา หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นของผู้ประกันจากกองทุนประกันสังคม เงินอุดหนุนแม่และเด็ก เป็นต้น ดร. อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการถือครองทรัพย์สินและความมั่งคั่งยังคงรุนแรงขึ้นในไทย ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นมีมากโดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้ประกอบการและเจ้าของทุน กับ แรงงานรับจ้างทั่วไปและเกษตรกรรายย่อยปราศจากที่ดินทำกิน มหาเศรษฐี 100 อันดับแรกของไทยมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉลี่ยของประเทศทรัพย์สินและความมั่งคั่งไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยและหนี้สินต่อครัวเรือนลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประเทศไทยจึงติดอันดับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงที่สุดในโลกเป็นอันดับสามรองมาจากอินเดียและรัสเซีย ปัญหาความเหลื่อมล้ำยังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทย สถาบันการเงินเครดิตสวิส ได้เคยออกรายงานความมั่งคั่งของโลก ระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 3 ของโลกโดยคนรวย ที่มีสัดส่วน 1% ของประชากร ครอบครองความมั่งคั่งสูงถึง 58% ของระบบเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ข้อมูลของโครงสร้างเงินฝากในระบบสถาบันการเงินยังพบว่า คนรวย 0.1% หรือ 65,000 คน จากประชากรทั้งหมด 65 ล้านคน มีเงินฝากเท่ากับ 49% ของเงินฝากทั้งระบบ กลุ่ม 10% แรกของประชากร เป็นเจ้าของทรัพย์สิน 79% ของประเทศ

มหาเศรษฐี 50 อันดับแรกของไทยมีสัดส่วนทรัพย์สินเทียบกับจีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี พ.ศ. 2557 เป็น 30% ( มีทรัพย์สินทั้งหมด 4.32 ล้านล้านบาท) ในปี พ.ศ. 2560 ภายใต้รัฐบาล คสช หมายความว่า มีคนเพียง 50 คนที่ถือครองทรัพย์สินมากกว่า หนึ่งในสี่ ของจีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศทั้งหมด

ตนเชื่อว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านความมั่งคั่งและทรัพย์สินนี้น่าจะรุนแรงกว่าตัวเลขที่ปรากฎเผยแพร่เนื่องจากเราไม่สามารถสำรวจข้อมูลและเข้าถึงข้อมูลการถือครองทรัพย์สินของกลุ่มประชากรที่มีรายได้และถือครองทรัพย์สินสูงสุด 5-10% ได้อย่างครบถ้วน ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์นี้จะนำมาสู่ความยุ่งยากในการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในอนาคต

ดร. อนุสรณ์ กล่าวว่า ความรุนแรงของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน แม้นเป็นเรื่องที่แก้ไขยากและต้องใช้เวลา สภาวะความเหลื่อมล้ำอย่างมากได้ทำลายศักยภาพของประเทศและคนไทยส่วนใหญ่ ทำให้ขาดโอกาส ขาดสิทธิ ขาดรายได้และไร้ซึ่งทรัพย์สินและการเข้าถึงปัจจัยการผลิต ทำให้ระบอบประชาธิปไตยอ่อนแอลง ตกอยู่ในวังวนของ ธนาธิปไตย และ ระบอบรัฐประหาร รัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้ปรับความสัมพันธ์เชิงอำนาจโดยเพิ่มอำนาจต่อรองให้ผู้ด้อยโอกาสและคนยากจน ปัญหาความ

เหลื่อมล้ำจะลดลงภายใต้รัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเป็นประชาธิปไตยและหลักการกระจายอำนาจ ความอยุติธรรมหรือการถูกเลือกปฏิบัติจากโครงสร้างอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำย่ำแย่ลง ต้องใช้วิธีลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน เพิ่มโอกาส เพิ่มสิทธิให้ประชนชน

ดร. อนุสรณ์ กล่าวต่อว่า จำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อลดอำนาจผูกขาดและเพิ่มการแข่งขัน เพิ่มโอกาสการเข้าถึงปัจจัยการผลิต เพิ่มสวัสดิการ ลดการรั่วไหลและการทุจริตงบประมาณช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ปฏิรูปภาษีด้วยการเพิ่มภาษีทรัพย์สิน ดำเนินการผ่านกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐต้องคำนึงถึงการกระจายโอกาสและการกระจายผลประโยชน์ไปยังประชาชนส่วนใหญ่ด้วย และ ควรศึกษาการเก็บภาษีลาภลอยเพื่อนำผลประโยชน์ส่วนเกินที่ได้จากการลงทุนจากงบประมาณของรัฐไปพัฒนาพื้นที่อื่นๆของประเทศด้วย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในเชิงพื้นที่ลง

ส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชนในการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งหนึ่งที่จะพิสูจน์ว่า รัฐบาล คสช เอาจริงเอาจังกับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คือ การผลักดันให้มีการผ่านกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาบังคับใช้ซึ่งขณะนี้ค้างอยู่ที่ สนช เนื่องจากมีการเสนอแก้ไขเนื้อหาสาระในหลายมาตราโดยเฉพาะประเด็นเรื่องการขอยกเว้นภาษีและอัตราภาษี การแก้ไขเหล่านี้ไม่ควรทำให้หลักการสำคัญของภาษีที่ดินเสียหายไปโดยเฉพาะการเพิ่มความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ กระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากที่ดิน เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ที่ดิน ลดการทุจริตคอร์รัปชัน คาดว่า รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีที่ดินไม่ต่ำกว่า 35,000-45,000 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศและจัดสวัสดิการให้กับผู้มีรายได้น้อยได้ มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยบ่งชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหา "การตะครุบที่ดิน (land grabbing) โดยทุนขนาดใหญ่ต่างชาติโดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหลาย อัตราภาษีทรัพย์สินที่ต่ำเกินไปหรือไม่มีการจัดเก็บพร้อมทั้งระบบข้อมูลการถือครองที่ดินที่ไม่ชัดเจนจะทำให้ปัญหาการตะครุบที่ดินรุนแรงมากขึ้นในอนาคต แม้นที่ดินจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศได้ แต่การเป็นเจ้าของที่ดินอาจส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรที่ดินที่รัฐอาจมีปัญหาในการควบคุมการใช้ได้ ปัญหาการตะครุบที่ดินเกิดขึ้นในหลายประเทศในละตินอเมริกาและแอฟริกา และ สร้างความไม่สมดุลและเพิ่มความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงในประเทศเหล่านี้ จึงควรมีการศึกษาระบบและกลไกที่ป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตะครุบที่ดิน

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4