นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์สับปะรดในปี 2561 พบว่า ผลผลิตทั้งประเทศรวม 2.248 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 2.136 ล้านตันในปี 2560 เนื่องจากปี 2558 มีภาวะภัยแล้งทำให้ราคาช่วงปี 2558 - 2559 อยู่ในเกณฑ์สูงเกษตรกรจึงขยายพื้นที่ปลูกประกอบกับปี 2560 ปริมาณน้ำฝนอยู่ในเกณฑ์ดีทำให้มีผลผลิตสับปะรดเพิ่มขึ้นทั้งนี้ช่วงพฤษภาคม-มิถุนายนของปีนี้ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากเฉลี่ยประมาณวันละ10,000 - 12,000 ตันขณะที่โรงงานแปรรูปสามารถรับซื้อได้เฉลี่ยประมาณวันละ 8,000 ตันเท่านั้น ทำให้มีผลผลิตส่วนเกินและส่งผลให้ราคาสับปะรดโรงงานที่เกษตรกรขายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ลดลงสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาตลาดโลกเนื่องจากผลผลิตกว่าร้อยละ 90ของสับปะรดจะถูกแปรรูปและส่งออกทำให้ราคาซื้อขายสับปะรดภายในประเทศอิงอยู่กับราคาส่งออกโดยปี 2560 - 2561 การส่งออกสับปะรดและผลิตภัณฑ์มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากผลผลิตสับปะรดโลกที่เพิ่มขึ้นและผู้ซื้อต่างประเทศบางส่วนหันไปนำเข้าสับปะรดจากประเทศคู่แข่งของไทย เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าแทน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดได้ช่วยกันเร่งแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องอาทิ การนำสับปะรดไปทำอาหารหมักสำหรับเลี้ยงโคเนื้อและโคนมโดยกรมปศุสัตว์ที่ร่วมมือกับกรมส่งเสริมสหกรณ์ การจัดงานส่งเสริมการบริโภคสับปะรดโดยองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) การกระจายผลผลิตสับปะรดออกนอกแหล่งผลิตเพื่อการบริโภคโดยกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมส่งเสริมการเกษตร การนำสับปะรดไปทำปุ๋ยอินทรีย์/ปุ๋ยหมักโดยกรมพัฒนาที่ดิน ขณะเดียวกันสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้ประสานไปยังกระทรวงมหาดไทยขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดจัดงานส่งเสริมการบริโภคสับปะรดเพื่อรณรงค์การบริโภคสับปะรด และขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ เช่น สถานประกอบการท่องเที่ยว โรงแรม สถานศึกษา สถานพยาบาล เรือนจำ นำผลผลิตสับปะรดมาใช้ในการประกอบอาหาร
สำหรับมาตรการแก้ไขปัญหาสับปะรดในระยะยาวประกอบด้วย ด้านการผลิต กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านการผลิตสับปะรดเตรียมผลักดันการขับเคลื่อนแผนงานตามยุทธศาสตร์ด้านการผลิตและการบริหารจัดการ ระยะที่ 1 (ปี 2561- 2564) ตามพื้นที่เพาะปลูกปัจจุบัน ดังนี้ 1) กำหนดให้พื้นที่ในกลุ่มจังหวัดที่อยู่ในรัศมีรอบโรงงานไม่เกิน 100 กิโลเมตรเป็นพื้นที่ปลูกสับปะรดส่งเข้าโรงงานจำนวน 12 จังหวัด พร้อมแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรพันธสัญญาซื้อขายสับปะรดโรงงานเพื่อผลักดันการจัดทำเกษตรพันธสัญญา (Contract farming) ระหว่างเกษตรกรและโรงงานแปรรูป และ 2)กำหนดให้พื้นที่เพาะปลูกที่เหลือ 15 จังหวัด เป็นพื้นที่ปลูกสับปะรดบริโภคผลสด พร้อมสร้างตราสัญลักษณ์สินค้า (Brand Name) และจดทะเบียนเป็นสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) โดยเชื่อมโยงตลาดผ่านกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์ ไปยังผู้ส่งออก/Modern Trade/การค้าชายแดน เป็นต้นด้านการตลาด กระทรวงพาณิชย์ในฐานะคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านการตลาดและการส่งออกสับปะรด ได้กำหนดแนวทางการกระจายผลผลิตสับปะรดส่วนเกินออกนอกแหล่งผลิต พร้อมเชื่อมโยงการค้าระหว่างผู้ส่งออกไทยและผู้นำเข้าในต่างประเทศ รวมถึงการขยายปริมาณการส่งออกสับปะรดในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G)เพิ่มขึ้น
ด้านการแปรรูปกระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการพัฒนาและแก้ไขปัญหาด้านอุตสาหกรรมแปรรูปสับปะรดได้กำหนดแนวทางการดำเนินงานในการศึกษาวิจัยและส่งเสริมการนำนวัตกรรมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสับปะรด การส่งเสริมการเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การควบคุมคุณภาพบรรจุภัณฑ์สับปะรดให้ได้มาตรฐานและยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ใหม่และการใช้ประโยชน์จากสิ่งเหลือใช้จากกระบวนการผลิตรวมทั้งมีมาตรการสนับสนุนโดยการให้สิทธิประโยชน์หรือมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมแปรรูปสับปะรด
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป สถานการณ์ราคาสับปะรดจะกระเตื้องขึ้นเนื่องจากผลผลิตออกสู่ตลาดไปแล้วกว่าร้อยละ 60 โดยเหลือผลผลิตที่คาดว่าจะออกในปีนี้อีกประมาณ 0.825 ล้านตัน แต่ผลผลิตอาจจะกระจุกตัวอีกครั้งในช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม ซึ่งเชื่อมั่นว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมีแผนบริหารจัดการเพื่อรับมือปัญหาไว้เรียบร้อยแล้ว