นายกฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า อำเภอบ้านหม้อ จ.อุตรดิตถ์ เป็นจุดนำร่องของโครงการที่ใช้กลไกสหกรณ์เข้ามาขับเคลื่อนตั้งแต่การเพาะปลูก การไถ การพรวนดิน การเก็บเกี่ยว หากสมาชิกไม่มีเครื่องมือ เครื่องจักร สหกรณ์จะช่วยจัดหาผู้รับจ้างมาทำรวมๆ กัน เพื่อลดต้นทุน เมื่อผลผลิตออกแล้วสหกรณ์จะรับซื้อจากสมาชิก และกระทรวงเกษตรฯ จะหาผู้รับซื้อจากสหกรณ์อีกทอดหนึ่ง เบื้องต้นได้ติดต่อผู้รับซื้อคือบริษัทเบทาโก และบริษัทซีพีเอฟ ในราคากิโลกรัมละ 5 บาท ซึ่งพื้นที่การเพาะปลูก 5,000 ไร่ จะได้ข้าวโพดประมาณ 7,500 ตัน คาดว่าเกษตรกรจะมีรายได้ 7,500 บาท/ไร่ โดยหักต้นทุนแล้วจะเหลือกำไร 4,000 บาท/ไร่ มากกว่าการปลูกข้าวที่ได้เพียง 2,000 บาท/ไร่ และขอฝากถึงสหกรณ์ว่าต้องทำเพื่อสมาชิก ปรับบทบาทจากให้เงินกู้อย่างเดียวมาเป็นการรวบรวมผลผลิตทางการเกษตรของสมาชิก ซึ่งต้องดูแลตั้งแต่การผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ การหาช่องทางการตลาดและเข้ามาเป็นตัวกลางในการดูแลผลประโยชน์ให้สมาชิก สามารถเจรจากับภาคเอกชนในการต่อรองซื้อขายสินค้า โดยสหกรณ์ควรยึดหลักแนวคิดที่สำคัญ คือ การดูแลเกษตรกรทั้ง 7 ล้านครอบครัวของเรา ให้ลืมตาอ้าปากให้ได้ โดยมีรายได้ที่มั่นคง และยั่งยืน
นโยบายของกระทรวงเกษตรฯ สนับสนุนให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนพื้นที่การปลูกข้าวเป็นการปลูกพืชชนิดอื่นๆ ที่ตลาดต้องการและให้ผลตอบแทนสูง เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวไม่ให้ตกต่ำ ซึ่งข้าวโพดเลี้ยงสัตว์เป็นพืชทางเลือกที่ใช้น้ำน้อย มีแนวโน้มตลาดมีความต้องการสูง กรมส่งเสริมสหกรณ์จึงได้กำหนดแนวทางการขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว โดยมีแผนการเตรียมพื้นที่นำร่องเพื่อให้เกษตรกรทดลองเปลี่ยนการทำนามาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่สหกรณ์ ดำเนินการในพื้นที่สหกรณ์จังหวัดพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ โดยสหกรณ์ได้ทำการคัดเลือกเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมโครงการฯ ตรวจสอบคุณสมบัติและข้อมูลสภาพพื้นที่การเพาะปลูกที่เหมาะสม เพื่อลดความเสี่ยงภัยจากปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ทำการเกษตร การจัดอบรมให้ความรู้แก่เกษตรกรสมาชิก เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ การคัดเลือกพันธุ์เพาะปลูกให้เหมาะกับสภาพพื้นที่และรอบการผลิต การตรวจติดตามแปลง การตรวจติดตามคุณภาพ และการบริหารจัดการตลาดโดยสหกรณ์เป็นจุดรวบรวมรับซื้อผลผลิตจากสมาชิก ซึ่งหากได้ผลดีเกษตรกรมีรายได้สูงกว่าการทำนา จะมีการส่งเสริมและขยายผลไปสู่พื้นที่การเพาะปลูกพืชหลังนาเพิ่มขึ้นอีก