"นอกจากการส่งเสริมอาชีพประมงแก่เกษตรกรในโครงการบางระกำโมเดลแล้ว คณะรัฐมนตรียังมีมติเห็นชอบให้ดำเนินโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับสมดุลของปริมาณการผลิตการตลาดข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อีกทั้งเกษตรกรมีรายได้และอาชีพที่มั่นคง ยั่งยืนจากกิจกรรมการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในช่วงฤดูนาปรัง และเพื่อให้อุตสาหกรรมต่อเนื่องของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีเสถียรภาพในการผลิตสินค้า ลดการพึ่งพาจากภายนอกประเทศ โดยมีเป้าหมายและพื้นที่ดำเนินการ ในพื้นที่ปลูกข้าวในเขตชลประทาน และนอกเขตชลประทานที่มีความเหมาะสม ตาม Zoning by Agri – Map ของกรมพัฒนาที่ดิน รวมพื้นที่ 2 ล้านไร่ ใน 33จังหวัด โดยมีมาตรการจูงใจให้กับเกษตรกร ด้วยการจัดหาปัจจัยการผลิตและการเตรียมดิน โดยจะให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ที่สามารถขอสินเชื่อจาก ธ.ก.ส. ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปีเท่านั้น นอกจากนี้ยังเตรียมเสนอให้ดำเนินการในส่วนค่าเบี้ยประกันภัยไร่ละ 65 บาท จำนวน 2,000,000 ไร่ อีกด้วย"
สำหรับคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเป็นหัวหน้าครัวเรือนในทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งมีความประสงค์ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวมาเป็นการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในนาช่วงฤดูแล้ง โดยพื้นที่ที่เข้าร่วมโครงการต้องอยู่ในเขตชลประทาน หรือพื้นที่นอกเขตชลประทานที่มีศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำและอยู่ในพื้นที่ที่โครงการกำหนด ทั้งนี้ เกษตรกรต้องมีบัญชีเงินฝากกับ ธ.ก.ส. ยกเว้นเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร และมีความประสงค์ขอรับสินเชื่อจากสถาบันเกษตรกร"
ในโอกาสนี้ ได้ติดตามผลการดำเนินงานและมอบเงินช่วยเหลือแก่เกษตรกรในโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อย ผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/62 ซึ่งเป็นเกษตรกรในอำเภอพรหมพิราม 13,752 ครัวเรือน ครบคลุมพื้นที่ปลูก 318,692 ไร่ โดยมีวัตถุประสงค์ในการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวให้แก่เกษตรกรรายย่อยผู้ปลูกข้าวนาปี เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว โดยเป็นเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2561/62 (รอบที่ 1)และขึ้นทะเบียนเกษตรกรกับกรมส่งเสริมการเกษตร (กลุ่มข้าวหอมมะลิ ข้าวเหนียว ข้าวปทุมธานี1 และข้าวเจ้า) ซึ่งจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวในอัตราไร่ละ 1,500 บาท ตามพื้นที่ปลูกจริงไม่เกิน 12 ไร่ ครัวเรือนละไม่เกิน 18,000 บาท และพื้นที่เพาะปลูกไม่ซ้ำซ้อนกับพื้นที่เสียหายจากภัยธรรมชาติที่ได้รับเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ (ไร่ละ 1,113 บาท) ยกเว้นกรณีนำไปเพาะปลูกใหม่ในช่วงเวลาการเพาะปลูกรอบที่ 1 โดยจะได้รับเงินไม่เกินพื้นที่เพาะปลูกจริงและไม่เกินพื้นที่ประสบภัย