กระชายดำเป็นพืชสมุนไพร มีลักษณะเป็นหัว อยู่ในตระกูลวงศ์เดียวกับขิง แต่มีเนื้อในสีม่วงจนถึงสีดำเข้ม การเพาะปลูกกระชายดำพบว่ามีความยากถึงยากมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อให้ได้คุณภาพกระชายดำที่มีตัวยา ที่มีสารสำคัญที่สมบูรณ์ที่สุด ต้องเริ่มจากพื้นที่เพาะปลูก โดยต้องเป็นพื้นที่ดินที่มีคุณภาพแร่ธาตุสมบูรณ์ โดยส่วนมากจะต้องเป็นดินภูเขา และเป็นดินใหม่ที่ไม่เคยผ่านการเพาะปลูกมาก่อน อยู่ในระดับความสูงที่เหมาะสม ไม่ต่ำกว่า 600 เมตร และสูงเกินกว่า 1,200 เมตรโดยเหนือจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป อากาศจะสะอาดบริสุทธิ์ แต่อากาศจะต้องไม่เย็นหรือร้อนจนเกินไป ซึ่งควรจะอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสม น้ำที่ใช้เป็นหลักจะใช้น้ำจากฝนที่ตกตามฤดูกาล โดยถ้าฝนตกเยอะจะทำให้น้ำท่วมขังในพื้นที่ปลูก แต่ถ้าปริมาณฝนน้อยเกินไป กระชายดำก็จะไม่สมบูรณ์ซึ่งอาจเป็นโรคได้ ในช่วงเวลา 1 ปีจะสามารถปลูกกระชายดำได้เพียง 1 ครั้งเท่านั้น เพราะกระชายดำที่ดีจะต้องมีอายุเก็บเกี่ยวที่ 9-12 เดือนขึ้นไป
หากจะเรียกสมุนไพรตัวนี้ว่า "โสมไทย" ก็จะคงได้ เพราะสรรพคุณของกระชายดำ ที่ผ่านการค้นคว้าจากงานวิจัยมากมายทั้งในประเทศหรือต่างประเทศ ต่างยืนยันว่า สารสกัดที่ได้จากกระชายดำ มีคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมและเสริมสร้างบำรุงร่างกายมนุษย์เป็นอย่างมาก
"คงจำกันได้ 10 ปีก่อน...ไวน์กระชายดำบูมมากขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่รุ่งได้แค่ 1–2 ปี เกษตรกรในหลายจังหวัดภาคเหนือ ต้องเอามาเททิ้งเกลื่อนกลาด นั่นเพราะอวดสรรพคุณว่าเป็นยาโด๊ป ซื้อไปดื่มแล้วกลับไม่ปึ๋งปั๋งดังว่า กระชายดำเลยถึงกาลอวสาน ขายไม่ออก คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคิดว่ากระชายดำเป็นสมุนไพรช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ หรือยาโด๊ป บำรุงเซ็กส์ แต่การวิจัยเราพบว่าคุณสมบัติที่แท้จริง คือบำรุงเลือด ช่วยให้เลือดในร่างกายหมุนเวียนได้ดี ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ส่งผลให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ที่ประเทศญี่ปุ่นเคยหาซื้อต้นไปปลูกแต่ไม่ได้ผลผลิต จึงต้องสั่งซื้อเป็นกระชายดำอบแห้งจากไทย นำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์สร้างความอบอุ่นให้กับร่างกาย ช่วยระบบเผาผลาญไขมันเพิ่มสมรรถภาพกล้ามเนื้อของนักกีฬา และช่วยให้นอนหลับสนิทส่งผลให้ร่างกายพักผ่อนได้อย่างเต็มที่" จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
คงน่าเสียดาย หากเราปล่อยให้หนึ่งในสุดยอดสมุนไพรไทย ที่ชื่อว่า "กระชายดำ" ที่มีจุดเด่นสรรพคุณเพียบพร้อมขนาดนี้" ที่มีเพียงที่ประเทศไทยเท่านั้น กลับต้องถูกปล่อยให้เลือนหายไป หรือกลับถูกต่างชาติเอาไปทำเป็นผลิตภัณฑ์ แล้วใช้ชื่อสารสำคัญแทนชื่อสมุนไพรของไทย และสุดท้ายกลับมาขายให้กับคนไทยบริโภค โดยไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นสมุนไพรชั้นเยี่ยมของชาติเรานี่เอง