โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน 21 โรงแรมของแชงกรี-ลาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และศรีลังกา ที่เข้าร่วมโครงการบริจาคผ้าปูที่นอน ปลอกผ้านวม และปลอกหมอน เป็นจำนวนรวมทั้งหมด 12,500 กิโลกรัม ให้แก่องค์กรพัฒนาเอกชนในท้องถิ่น เพื่อนำมาใช้ในการผลิตหน้ากากผ้าจำนวนกว่าครึ่งล้าน โดยโรงแรมอื่นๆ ในกลุ่มแชงกรี-ลาที่เข้าร่วมในโครงการที่มีประโยชน์ในครั้งนี้ ได้แก่ โรงแรมแชงกรี-ลาในโคลัมโบ ฮัมบันโตตา ยะโฮร์บาห์รู โกตาคินาบาลู ปีนัง สุราบายา จาการ์ตา มะนิลา เซบู สิงคโปร์ และย่างกุ้ง
เฉพาะในกรุงเทพฯ โรงแรมฯ วางแผนที่จะช่วยสนับสนุนให้มีการผลิตหน้ากากผ้าที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ จำนวนกว่า 30,000 ชิ้น สำหรับชุมชนที่มีความต้องการหน้ากากผ้าในช่วงนี้ ด้วยการสนับสนุนจากองค์กรพัฒนาเอกชนอย่าง ศูนย์การเรียนรู้ซีดาร์ ซึ่งเป็นโครงการสำหรับให้ความช่วยเหลือด้านการศึกษาและมนุษยธรรมแก่ครอบครัวและบุตรหลานของผู้ลี้ภัย จากความช่วยเหลือของศูนย์การเรียนรู้ซีดาร์นี้เอง ทำให้ผู้ลี้ภัยชาวศรีลังกาและปากีสถาน รวมถึงผู้แสวงหาที่ลี้ภัย ได้รับรายได้เพิ่มเติมจากการเย็บหน้ากากผ้า ซึ่งจะนำไปแจกจ่ายให้แก่ชุมชนผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ
การนำผ้าลินินที่ใช้แล้วแต่สะอาด มาผ่านกระบวนการ upcycle (การนำของที่ใช้แล้วมาผ่านกระบวนการแปรสภาพที่ใช้พลังงานหรือกระบวนการทางเคมีให้น้อยที่สุด เพื่อยืดอายุการใช้งานของวัสดุ) เป็นหน้ากากผ้า ยังช่วยให้กลุ่มแชงกรี-ลาลดการสิ้นเปลืองทางสิ่งแวดล้อมโดยเปล่าประโยชน์ เพราะหากมีการผลิตผ้าลินินขึ้นมาใหม่เพื่อใช้ในการทำหน้ากากผ้าจำนวนกว่าครึ่งล้านชิ้น จะต้องใช้น้ำ 60 ล้านลิตร (เทียบเท่ากับน้ำในสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานโอลิมปิกจำนวน 23 สระ) และปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 150 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ เทียบเท่ากับการเผาไหม้น้ำมัน 63,000 ลิตร*
มร. ไคล์ เพรทโรเรียส รองผู้จัดการทั่วไป โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ กล่าวว่า “เรามีความมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่นในกรุงเทพฯ มากเท่าที่เราจะทำได้ การระบาดครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน และโครงการนี้ไม่เพียงแค่ช่วยปกป้องสมาชิกชุมชนที่มีความเปราะบางจากโรคโควิด-19 แต่ยังทำให้ชุมชนสามารถมีรายได้เพื่อการดำรงชีพในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้”
นิโรชาน ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการศูนย์การเรียนรู้ซีดาร์ กล่าวว่า “ผมอยากขอบคุณไดเวอร์ซี่ และโรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ที่มอบผ้าลินินให้กับเราเพื่อใช้ทำหน้ากากผ้า โครงการนี้ช่วยสร้างงานให้แก่ชุมชนผู้ลี้ภัยในกรุงเทพฯ และยังช่วยจัดหาหน้ากากให้แก่ผู้ที่ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้ออีกด้วย ความช่วยเหลือนี้จะทำให้ชุมชนของเราเข้มแข็งขึ้น ขอบคุณมากครับ”
มร. วิกัส มิททัล ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจ ของไดเวอร์ซี่ ประเทศไทย เวียดนาม และอินโดจีน ได้กล่าวว่า “หนึ่งในลำดับความสำคัญในระดับโลกของไดเวอร์ซี่ คือการให้การสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โครงการหน้ากากผ้าเพื่อชีวิต (Linens for Life Face Masks Programme) นับเป็นตัวอย่างอันดี ในการร่วมมือกันระหว่างไดเวอร์ซี่ โรงแรมที่เป็นลูกค้าของเราและพันธมิตรองค์กรพัฒนาเอกชน เพื่อมอบวัสดุที่ใช้ในการดูแลสุขอนามัยอย่างเรียบง่ายให้แก่ผู้ที่มีความต้องการจริงๆ และยังเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสอีกด้วย”
สำหรับหลายๆ คน สุขภาพและความปลอดภัยนับเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด กลุ่มแชงกรี-ลาได้ประกาศเปิดตัวพันธสัญญาแชงกรี-ลาแคร์ไปเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อตอกย้ำความพยายามของกลุ่มฯ ในการให้ความใส่ใจดูแลแขกและพนักงานของเรา เมื่อเราเริ่มให้การต้อนรับแขกที่กลับมาใช้บริการที่โรงแรมและรีสอร์ทของเราอีกครั้ง ด้วยความพยายามอย่างต่อเนื่องในการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ปลอดภัยและไว้วางใจได้ ทางกลุ่มฯ ได้ร่วมมือกับไดเวอร์ซี่ในการดำเนินการตามมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยและการป้องกันในโรงแรมทุกแห่งภายในกลุ่มฯ
การร่วมมือกันระหว่างแชงกรี-ลาและไดเวอร์ซี่ในโปรแกรม L4LFM เกิดขึ้นจากความสำเร็จของโครงการ Soap For Hope ซึ่งเป็นความร่วมมือในระดับโลกของทั้งสองฝ่าย ทำให้ชิ้นส่วนของสบู่จำนวน 427 ตัน ถูกนำไปรีไซเคิลเป็นสบู่ก้อนใหม่ถึง 3.5 ล้านก้อน เพื่อนำไปมอบให้แก่ชุมชมที่มีความเสี่ยงในตลอด 3 ปีที่ผ่านมา สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลชุมชนของกลุ่มแชงกรี-ลา
*ตัวเลขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมาจากการค้นคว้าอย่างเป็นอิสระโดย Metabolic ในเนเธอร์แลนด์ https://www.metabolic.nl/news/improving-the-environmental-performance-of-hotel-linen/ ตัวเลขดังกล่าวนำมาจากการวิเคราะห์วงจรชีวิตผ้าฝ้าย ผ้าลินินโพลีคอตตอน และผ้าเช็ดตัวที่ทำจากผ้าฝ้าย ที่ใช้ในโรงแรมชั้นนำ