นายอนันต์ สุวรรณรัตน์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีพื้นที่เกษตรกรรมมากกว่า 149 ล้านไร่ แต่พื้นที่ปลูกพืชส่วนใหญ่ธาตุอาหารในดินถูกพืชดึงไปใช้ประโยชน์และขาดการปรับปรุงบำรุงดิน ทำให้ผลผลิตพืชลดน้อยลง เกษตรกรจึงต้องพึ่งพาการใช้ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มผลผลิตโดยมีความเชื่อว่าหากใส่ปุ๋ยเคมีในปริมาณมากจะทำให้พืชให้ผลผลิตมากหรือบางรายใส่ตามความเคยชินเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตจากการใช้ปุ๋ยที่สูงขึ้นซึ่งหลักการใส่ปุ๋ยเพื่อให้พืชได้รับประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพตามหลักวิชาการเกษตรกรต้องรู้จักศักยภาพของดินในพื้นที่ต้องการปลูกพืชก่อนว่ามีความสมบูรณ์มากน้อยเพียงใดเนื่องจากการใส่ปุ๋ยจำเป็นต้องพิจารณาความต้องการธาตุอาหารของพืชร่วมกับคุณลักษณะของดิน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้พืชได้รับธาตุอาหารตรงตามความต้องการแล้วยังช่วยประหยัดต้นทุนการใช้ปุ๋ยให้เกษตรกรได้อย่างมากอีกด้วย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายที่ชัดเจนในการส่งเสริมองค์ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิตให้แก่เกษตรกรดังนั้นจึงมีแนวคิดให้กรมวิชาการเกษตรซึ่งมีองค์ความรู้ทางวิชาการความต้องการธาตุอาหารเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชแต่ละชนิดและแต่ละช่วงเวลาการเจริญเติบโต ในขณะที่กรมพัฒนาที่ดินมีฐานข้อมูลชุดดินอยู่ทั่วประเทศมากกว่า 300 ชนิดโดยให้ทั้ง 2 หน่วยงานนำองค์ความรู้ทั้งด้านพืชและดินมาผนวกกันจัดทำเป็นฐานข้อมูลให้คำแนะนำการใส่ปุ๋ยที่ถูกชนิดและในอัตราที่เหมาะสมต่อความต้องการของพืชและตรงกับศักยภาพของดินโดยมีหลักคิดที่สำคัญว่าต้องเป็นเทคโนโลยีที่เกษตรกรสามารถเข้าถึงองค์ความรู้ทั้งด้านพืช ดิน และปุ๋ย ได้อย่างครบถ้วนสะดวกรวดเร็วมีความแม่นยำ ใช้งานง่าย ที่สำคัญต้องประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายให้เกษตรกร