บมจ. ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ โรงสีศรีแสงดาว จัดอบรมเกษตรกร เรื่องการจัดการธาตุอาหารและการใช้ปุ๋ยในนาข้าว หวังเพิ่มผลผลิตให้มีปริมาณและคุณภาพสูงขึ้น

จันทร์ ๒๖ ตุลาคม ๒๐๒๐ ๑๓:๒๓
บมจ. ไทยเซ็นทรัลเคมี ร่วมกับ โรงสีศรีแสงดาว จัดอบรมเกษตรกร เรื่องการจัดการธาตุอาหารและการใช้ปุ๋ยในนาข้าว หวังเพิ่มผลผลิตให้มีปริมาณและคุณภาพสูงขึ้น

บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยเคมีรายใหญ่ ตราหัววัว-คันไถ ร่วมกับ บริษัท โรงสีศรีแสงดาว (จำกัด) จัดอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรเรื่องการจัดการธาตุอาหารและการใช้ปุ๋ยในนาข้าว หวังเกษตรกรนำความรู้ไปพัฒนาการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตสูงขึ้นสนองนโยบายภาครัฐผลักดันการส่งออกข้าวไทยให้เป็นที่หนึ่งในตลาดโลก

นายวัชระ ปิงสุทธิวงศ์ เจ้าหน้าที่บริหารและผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไทยเซ็นทรัลเคมี เดินทางมาร่วมเป็นประธานเปิดโครงการอบรมเกษตรกร กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาข้าวไทยให้มีคุณภาพและปริมาณที่สูงขึ้น รวมทั้งผลักดันการส่งออกให้เป็นที่หนึ่งในตลาดโลก อีกทั้งยังจะเป็นผู้ผลิตอาหารปลอดภัยให้เป็นที่ยอมรับของประเทศต่างๆ บริษัทฯ เล็งเห็นว่าการที่ประเทศไทยจะไปถึงเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น เกษตรกรจะต้องมีองค์ความรู้ใหม่ๆ ในเรื่องการจัดการดิน น้ำ การใช้นวัตกรรมด้านการเกษตร ประสบการณ์และภูมิปัญญาจากเกษตรกร รวมทั้งปัจจัยการผลิตทางการเกษตร เพื่อปรับแต่งพืชผลตามที่ต้องการ เช่นเร่งการเจริญเติบโตของใบและต้น รวมทั้งการออกดอกและผลผลิต ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้จัดโครงการอบรมเกษตรกรขึ้น โดยร่วมมือกับภาครัฐบาล มหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และเกษตรกร ซึ่งโครงการอบรมเกษตรกรเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของบริษัทฯ ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับการอบรมเกษตรกรในครั้งนี้ เป็นเรื่องการจัดการธาตุอาหารและการใช้ปุ๋ยในนาข้าว โดยร่วมมือกับ บริษัท โรงสีศรีแสงดาว จำกัด และได้เรียนเชิญ รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บรรยายเรื่องการจัดการธาตุอาหารและการใช้ปุ๋ยในนาข้าว และคุณสินสมุทร ศรีแสนปาง ผู้จัดการ บริษัท โรงสีศรีแสงดาว จำกัด ร่วมเสวนาเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมการปลูกข้าว พร้อมทั้งพาเกษตรกรเยี่ยมชมแปลงปลูกข้าวสาธิต ซึ่งบริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุนปัจจัยการผลิตคือปุ๋ยเคมีสูตร 20-8-20 เพื่อใช้ในการวิจัยและทดลองเพื่อเพิ่มผลผลิตให้มีคุณภาพและปริมาณที่สูงขึ้น

รศ.ดร.สุมิตรา ภู่วโรดม นักวิจัยอาวุโส ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปัญหาที่เกษตรกรปลูกข้าวแล้วได้ผลผลิตน้อย ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาด้านการจัดการธาตุอาหาร การจัดการแปลง และการใช้ปุ๋ยให้ถูกต้องเหมาะสม โดยปกติเกษตรกรมักจะเผาตอซังข้าวก่อนการเตรียมดินปลูก ทำให้สูญเสียธาตุอาหารในดินที่เป็นประโยชน์ไปกับการเผา จึงอยากให้เปลี่ยนเป็นวิธีการไถกลบฟางข้าวแล้วทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือน จากนั้นปลูกปอเทืองแล้วไถกลบอีกรอบ เพื่อเป็นปุ๋ยพืชสด และเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ในดิน อีกทั้งแนะนำให้ใส่หินร็อคฟอสเฟต (0-3-0) อัตราไร่ละ 10 กิโลกรัม ร่วมกับการใส่ปูนโดโลไมท์ อัตราไร่ละ 25 กิโลกรัม เพื่อช่วยปรับสภาพดินก่อนการปลูก สำหรับวิธีการปลูก แนะนำให้เปลี่ยนวิธีใหม่ จากเดิมที่เกษตรกรนิยมปลูกข้าวแบบวิธีหว่าน โดยใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวอัตราไร่ละ 25-35 กิโลกรัม มาเป็นวิธีการปลูกข้าวแบบนาหยอด ที่ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวเพียงอัตราไร่ละ 4 กิโลกรัม ระยะปลูก 30x15 เซนติเมตร เป็นการประหยัดต้นทุนด้านเมล็ดพันธุ์ โดยต้นข้าวที่ได้จากวิธีการปลูกแบบหยอดจะขึ้นเป็นแถว มีระยะห่างที่เหมาะสม อากาศถ่ายเทสะดวก ทำให้การจัดการ ดูแลรักษาง่าย ได้รับธาตุอาหารเพียงพอ ส่งผลให้เจริญเติบโตเร็ว แตกกอดี ต้นข้าวมีความสม่ำเสมอกันทั้งแปลง มีจำนวนรวงเยอะ น้ำหนักเมล็ดดี สภาพต้นแข็งแรง ลดการเกิดโรค และทนต่อสภาพแล้งได้ดีกว่าวิธีปลูกข้าวแบบวิธีการหว่าน

การใส่ปุ๋ยเคมี จะเป็นการใส่ปุ๋ยเคมีตามเป้าหมายของผลผลิต เพิ่มปริมาณปุ๋ยเคมีตามเป้าผลผลิตที่ต้องการ ซึ่งจะแนะนำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 20-8-20 ทุกระยะการเจริญเติบโต ตลอดทั้งฤดูปลูก แบ่งการใส่ปุ๋ยออกเป็น 2-3 ครั้ง โดยจะใส่ปุ๋ยเคมี เมื่อฝนตกหรือสภาพดินมีความชื้น โดยการใส่ปุ๋ยทุกระยะอัตรารวมกัน จะต้องเท่ากับ 40-50 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับเป้าหมายผลผลิตข้าว 500 กิโลกรัมต่อไร่ รวมทั้งการใช้ธาตุอาหารเสริม คือ ธาตุสังกะสี และโบรอน เพื่อเพิ่มศักยภาพผลผลิต ถ้าเกษตรกรทำตามขั้นตอนดังกล่าว จะได้ข้าวลำต้นใหญ่ แตกกอดี และมีจำนวนต้นถึง 40-60 ต้นต่อกอ และที่สำคัญ คือ ห้ามตัดใบข้าวเพื่อกระตุ้นให้ข้าวแตกกอ เพราะจะทำให้ได้จำนวนรวงข้าวลดลง ทำให้ผลผลิตลดลง ส่วนการเก็บเกี่ยวผลผลิต ควรเก็บเกี่ยวเมื่อเมล็ดข้าวระยะสุกแก่ มีความชื้นเหมาะสม เลือกใช้รถเกี่ยวที่มีการล้างทำความสะอาดรถและถังบรรจุ ก่อนการเก็บเกี่ยวเพื่อป้องกันปัญหาวัชพืช และพันธุ์ปน หากเกษตรกรปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าวนี้ จะสามารถประหยัดเมล็ดพันธุ์ข้าวเทียบกับวิธีเดิมได้ถึง 6-9 เท่า สภาพดินจะมีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะสมกับการปลูกข้าว อีกทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมีได้อย่างคุ้มค่า ลดต้นทุนค่าสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืช ได้ผลผลิต และคุณภาพข้าวเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว ข้าวไทยก็จะมีศักยภาพแข่งขันกับตลาดโลกได้

ด้านนายสินสมุทร ศรีแสนปาง ผู้จัดการ บริษัท โรงสีศรีแสงดาว จำกัด ผู้ส่งเสริมและรับซื้อผลผลิตข้าว และเป็นผู้ส่งเสริมการปลูกข้าวแบบนาหยอด และพัฒนาความรู้ด้านเทคโนโลยีการเกษตรให้กับเกษตรกร ด้านนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร กล่าวว่า ทางบริษัทฯ ได้ริเริ่มดำเนินโครงการ ?ศรีแสงดาวหมู่บ้านนาหยอด ทำน้อย ได้มาก? เพื่อต้องการเพิ่มศักยภาพผลผลิต และคุณภาพของข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 จึงได้จัดทำโครงการแปลงทดลอง และแปลงสาธิตการผลิตข้าว เพื่อส่งเสริมแนวทางให้กับเกษตรกรในพื้นที่ โดยได้ใช้ข้าวพันธุ์ ขาวดอกมะลิ 105 ชั้นพันธุ์ขยาย อัตราการใช้เมล็ดพันธุ์ 900 กรัม ต่อไร่ (โดยทั่วไปเกษตรกรจะใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวอัตรา 20-35 กิโลกรัมต่อไร่) เพื่อทดสอบ ประสิทธิการเจริญเติบโต และการให้ผลผลิต รวมถึงการใช้เทคโนโลยีการเกษตรสมัยใหม่ในการจัดการแปลงผลิตข้าว ได้แก่ เทคโนโลยีการปรับระดับที่นาด้วยระบบเลเซอร์ (Laser Land Leveling) เทคโนโลยีการหยอดข้าวด้วยระบบ GPS (ครั้งแรกในประเทศไทย) และการใช้โดรนหว่านปุ๋ยเคมี และฉีดพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดโรค และแมลง ประกอบกับการจัดการด้านธาตุอาหารพืช การใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกต้องเหมาะสม ตรงตามความต้องการของพืช และการจัดการโครงสร้างและความอุดมสมบูรณ์ดิน ทำให้ได้ผลผลิตข้าวที่มีคุณภาพ และผลผลิตเพิ่มมากขึ้น

นางสังวร พลอาสา ประธานกลุ่มจีไอ กู่กาสิงห์ เกษตรกรผู้ปลูกข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา บ้านกู่กาสิงห์ ต.กู่กาสิงห์ อ.เกษตรวิสัย จ.ร้อยเอ็ด เล่าว่า ทำนามาตั้งแต่บรรพบุรุษ มีวิธีการปลูกแบบทำตามๆ กัน ใครว่าปุ๋ยไหนดีก็ใส่ตามกัน และให้ปุ๋ยเหมือนเดิมทุกครั้ง ปลูกกันแบบบ้านๆ พึ่งแต่ฟ้าฝน ไม่มีเทคโนโลยีใดมาช่วยเลย ผลผลิตที่ได้คือไร่ละ 300 กิโลกรัม ราคาขายค่อนข้างดีก็พออยู่ได้ พอมาปีที่แล้ว ได้เข้าร่วมโครงการอบรมเกษตรกร การจัดการธาตุอาหาร และการใช้ปุ๋ยในนาข้าว ความคิดและวิธีการปลูกข้าวแบบเดิมๆ ก็เปลี่ยนไป จึงได้เริ่มเปลี่ยนวิธีการปลูกตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมดิน การบริหารจัดการ การใส่ปุ๋ยอย่างถูกต้อง รวมไปถึงการเก็บเกี่ยว อย่างเช่นวิธีการปลูกข้าว แบบเดิมๆ จะปลูกช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. ก็จะเปลี่ยนมาเป็นกลางเดือน มิ.ย.- ต้นเดือน ก.ค. เพราะปลูกแบบเดิมมักเจอฝนทิ้งช่วงข้าวมักตาย จากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง การเตรียมดิน ต้องเปลี่ยนความคิดอย่าเผาตอซัง และการใส่ปุ๋ยตรงตามสูตร และอัตราส่วนที่ถูกต้อง ทำให้ได้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจริง ๆ

สำหรับเกษตรกร และผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์ปุ๋ย ตราหัววัว - คันไถ และอื่นๆ ของบริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน) รวมถึงโครงการอบรมต่างๆ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-639-8888 หรือติดตามข่าวสารของบริษัทผ่านทางเพจเฟสบุ๊ค ชื่อ ปุ๋ยเต็มสูตร ตรา หัววัว-คันไถ

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๒ บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๗:๓๓ รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๗:๔๔ กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๗:๔๒ ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๗:๑๕ กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๗:๑๕ เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๗:๒๙ สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๗:๑๐ GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๗:๔๓ เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๖:๓๖ เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4