มร.ซี.เอส.ชัว ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ อินฟินิออน เทคโนโลยีส์ เอเซีย แปซิฟิก กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ 40 ปี พนักงานกว่า 37,500 คน สร้างงานสร้างรายได้ 7,063 ล้านยูโรในปี 2017 อินฟินิออน นับเป็นองค์กรที่เติบโตเร็วที่สุดในด้านอุตสาหกรรม (ออโตเมชั่น, โลจิสติกส์, พลังงานทางเลือก), ยานยนต์ (ระบบไร้คนขับ และ e-mobility) ตลอดจนระบบความปลอดภัยดิจิทัล (IoT, eID, Smart wearables) ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกง่ายขึ้น ปลอดภัยขึ้นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น สิ้นเปลืองน้อยลง และทุกคนเข้าถึงได้ เราเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งของศูนย์ปฏิบัติการอิเล็คทรอนิกส์ยานยนต์และ EV ซึ่งเปิดดำเนินการเป็นแห่งแรกในอาเซียนเนื่องจากไทยมีศักยภาพเป็นฐานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียนเป็นที่ประจักษ์โดย 85% ของชิ้นส่วนในรถปิคอัพ 70% ของชิ้นส่วนรถยนต์และ 100% ของชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์นั้นผลิตในประเทศไทย กำลังผลิตยานยนต์ 2 ล้อและ 4 ล้อ รวม 4 ล้านคัน ประเทศไทยเป็นทั้งโอกาสของตลาดและฐานผลิตสำหรับส่งออก ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง อินฟินิออน กับคณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. นับเป็นอีกก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของการถ่ายทอดโนว์ฮาวด้านอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ (Automotive Electronics) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการต่อยอดนวัตกรรม EV แก่อาจารย์ นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ และเอสเอ็มอีผู้ผลิตชิ้นส่วน โดยสอดคล้องกับเป้าหมายยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการพัฒนา Industry 4.0 และ Thailand 4.0 ด้วยนวัตกรรม เราจะร่วมส่งเสริมพัฒนาให้ศักยภาพผู้ประกอบการ สตาร์ทอัพและขับเคลื่อนให้ซัพพลายเชนในอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยมึความสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและมีความพร้อมรองรับอุตสาหกรรมในการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้ประเทศไทยเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าสีเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มร.อันโตนิโอ โมเนตติ ผู้อำนวยการการตลาด แผนกยานยนต์ และผู้อำนวยการส่วนการพัฒนาธุรกิจประเทศไทย บริษัท อินฟินิออน เทคโนโลยีส์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า อินฟินิออน มุ่งเน้นวิสัยทัศน์และภารกิจร่วมพัฒนาประเทศไทยใน 4 ด้าน คือ การพัฒนาศักยภาพของบุคลากรไทย, เพิ่มความเข้มแข็งให้งาน R&D ในประเทศ พัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อ EV พัฒนาจากการเป็นฐานแหล่งผลิตไปสู่ความเป็นฮับพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Development Hub) การยกระดับพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในอุตสาหกรรมยานยนต์ไปสู่การสร้างนวัตกรรมในผลิตภัณฑ์ โซลูชั่นหรือระบบนั้น การสร้างอนาคตต้องเริ่มทำแต่วันนี้โดยฝึกอบรมทักษะระดับสูงของนักศึกษาและพนักงานผู้ประกอบการให้สามารถพัฒนาด้านต่างๆ ได้แก่ 1.สร้างมูลค่าเพิ่มจากงานวิจัยอิเล็กทรอนิกส์ระดับสูงในประเทศ 2.องค์ประกอบของความสำเร็จ ได้แก่ ความสามารถในนวัตกรรมและศักยภาพของเทคโนโลยีทางอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์ต้องได้รับการพัฒนาอย่างยั่งยืน 3.ต้องทำให้วิศวกรของเอสเอ็มอีและนักศึกษาไทย สามารถฝึกฝนทักษะเข้าถึงประสบการณ์ระดับโลกในระบบและเทคโนโลยียานยนต์ 4.ศูนย์ปฏิบัติการแห่งนี้จะช่วยสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมยานยนต์และ EEC
รศ.ดร.คมสัน มาลีสี คณบดี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กล่าวว่า "คน" เป็นผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรม EV ศูนย์ปฏิบัติการอิเล็คทรอนิกส์ยานยนต์และ EV แห่งนี้จะสร้างหลักสูตร 2 แบบ คือ หลักสูตรประกาศนียบัตรระยะสั้นสำหรับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน กำหนดเปิดในเดือนมีนาคม 2018 และหลักสูตรปริญญาตรี ซึ่งจะเปิดรับสมัครนักศึกษาในปีการศึกษา 2019 ส่วนในด้านงานวิจัย EV ปี 2018-2019 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. ได้รับงบจากรัฐบาลโดยสร้างศูนย์ทดสอบสำหรับแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนในรถยนต์ไฟฟ้า ตลอดจนมาตรฐานการทดสอบการสื่อสารระหว่างรถยนต์ไฟฟ้า กับอุปกรณ์อัดประจุไฟฟ้า(EV Charger) นอกจากนี้คณะวิศวกรรมศาสตร์ยังได้รับทุนวิจัยพัฒนาเกี่ยวกับ Smart Grid System, ระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) และ รถยนต์ไฟฟ้า(EV) เรามั่นใจว่าการเปิดศูนย์ปฏิบัติการอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์และ EV ครั้งนี้ จะช่วยพัฒนา"คน"ที่มีองค์ความรู้และทักษะระดับสูง มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชั่น EV แทนการทำธุรกิจแบบซื้ออุปกรณ์สำเร็จมาประกอบ โดยไม่มีเทคโนโลยีของตนเอง การสร้างมูลค่าเพิ่มจะนำพาประเทศก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางอย่างยั่งยืน
ดร.สมภพ ผลไม้ หัวหน้าภาควิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ สจล. กล่าวว่า ภายในศูนย์ปฏิบัติการ EV นี้มีความก้าวหน้าทันสมัยด้วยอุปกรณ์ชุดพัฒนา (Development Kit) สำหรับประยุกต์ใช้ในงานอิเล็คทรอนิกส์ยานยนต์ เช่น ชุดควบคุมมอเตอร์กระจกไฟฟ้า, เก้าอี้ไฟฟ้า, ปรับหรี่ไฟแอลอีดีภายใน/ภายนอกรถยนต์ ,ชุดระบบเซ็นเซอร์ต่างๆในรถยนต์ พร้อมชุดซอฟต์แวร์ครบครันที่จะรองรับงานวิจัยพัฒนาระดับสูง ทั้งนี้ในปีแรกเราตั้งเป้าพัฒนาฝึกอบรมแก่ อาจารย์และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมประมาณ 60 คน โดยเนื้อหา แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับ ECU เกี่ยวกับสมองกลของรถยนต์, ระดับ BCU การควบคุมและอำนวยความสะดวกของตัวรถ และระดับ Traction Driveระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า แต่ละระดับจะเปิดอบรมปีละประมาณ 2 ครั้ง ด้วยความร่วมมือจากเครือข่ายองค์กรต่างๆ เช่น สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สมาคมสมองกลฝังตัวไทย, สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย และสถาบันการศึกษาต่างๆ กลุ่มเป้าหมายคือวิศวกร เทคนิเชียนของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ นักศึกษา นักวิจัยจากภาครัฐและภาคเอกชน