นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท โรงพิมพ์ตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EPCO) เปิดเผยว่าบริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (EP) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EPCO ได้ดำเนินการเข้าซื้อหุ้นสามัญทั้งทางตรงและทางอ้อม ของบริษัท พีพีทีซี จำกัด (PPTC) ในสัดส่วน 49.5% และเข้าซื้อหุ้นสามัญทางอ้อมของบริษัท เอสเอสยูที จำกัด (SSUT) ในสัดส่วน 40% ซึ่งทั้งสองแห่งเป็นผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กระบบ Cogeneration มีกำลังการผลิตรวม 360 เมกะวัตต์ และไอน้ำกำลังการผลิตรวม 90 ตันต่อชั่วโมง โดยปัจจุบันการเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นของ EP ได้ดำเนินการและรับโอนหุ้นเรียบร้อยแล้ว
จากการลงทุนดังกล่าว ประเมินว่าจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากจะรับรู้รายได้และกำไรจากการลงทุนในโครงการพลังงานไฟฟ้าใช้พลังงานความร้อนร่วม Co-generation Combined Power Plant ทั้งสองแห่ง นอกจากนี้ ในส่วนของการนำ EP ก็มีแผนที่จะเข้าระดมทุนและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในต้นปี 2561 เพื่อรองรับแผนขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ โดยคาดว่าจะดำเนินการยื่นไฟลิ่งภายในปี 2560 นี้
นอกจากนี้นายยุทธ ได้เปิดเผยถึงผลการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินและหุ้นปันผล จากผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม-30 มิถุนายน 2560 และจากกำไรสะสมให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตรา 0.08 บาท โดยจ่ายปันผลในรูปของเงินสดและหุ้นปันผลเป็นจำนวนเงิน 63,697,622.56 บาท แบ่งเป็นจ่ายปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.03 บาท สำหรับจำนวนหุ้น 796,220,282 หุ้น รวมจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดจำนวน 23,886,608.46 บาท และจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในอัตรา 20 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นปันผล สำหรับจำนวนหุ้น 796,220,282 หุ้น รวมเป็นหุ้นปันผล 39,811,014 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท รวมมูลค่า 39,811,014 บาท หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลในอัตรา 0.05 บาท ในกรณีที่ผู้ถือหุ้นเดิมหลังการจัดสรรหุ้นปันผลแล้ว ให้จ่ายปันผลเป็นเงินสดแทนการจ่ายเป็นหุ้นปันผลในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท
บริษัทกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 9 ตุลาคม 2560 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 10 ตุลาคม 2560 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 27 ตุลาคม 2560 นอกจากนี้ ยังอนุมัติลดทุนจดทะเบียนของบริษัทที่คงเหลือจากการจากจ่ายหุ้นปันผล จากทุนจดทะเบียนเดิม 896,907,005 บาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 896,907,005 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 896,905,269 บาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 896,905,269 หุ้น โดยลดทุนจดทะเบียนจำนวน 1,736 หุ้น มูลค่าที่ตราไวหุ้นละ1 บาท ขณะเดียวกันยังอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 896,905,269 บาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 896,905,269 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เป็นทุนจดทะเบียนจำนวน 936,716,283 บาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 936,716,283 หุ้น โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 39,811,014 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อรองรับการจ่ายหุ้นปันผล