นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ บริษัท ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SUPER เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2563 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน และมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการรับรู้รายได้จากการขายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ ( COD) ทั้งจากโรงไฟฟ้าเดิม และโรงไฟฟ้าใหม่ ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศเวียดนาม ขนาดกำลังการผลิตรวม 550 เมกะวัตต์ โดยจะทยอย COD ภายในเดือนธันวาคม 2563 ตามแผนงานที่กำหนดไว้ และจะสนับสนุนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่โครงการพลังงานลม (วินด์ฟาร์ม)ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 171 เมกะวัตต์ และ 250 เมกะวัตต์ อยู่ระหว่างการเร่งก่อสร้างคาดว่าจะทยอย COD ได้ภายในปีหน้า
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าในไทยมีแผนลงทุนต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการเติบโตของรายได้ ได้แก่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน จังหวัดหนองคาย กำลังการผลิตติดตั้ง 8 เมกะวัตต์ โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จากก่อนหน้า ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน จังหวัดสระแก้ว กำลังการผลิตติดตั้ง 9 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากขยะชุมชน จังหวัดพิจิตร กำลังการผลิตติดตั้ง9เมกะวัตต์ ทยอยพัฒนาโครงการตามแผนงานของบริษัท
นอกจากนี้ ยังมีการขายไฟฟ้าโดยตรงให้กับลูกค้าในลักษณะPrivate PPA อยู่ระหว่างการเจรจาผู้ประกอบการเพิ่มเติม จากล่าสุดที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ด้วยระบบผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์เซลล์แบบติดตั้งบนพื้นดิน กำลังการผลิตติดตั้ง 4.04 เมกะวัตต์
“เรามุ่งเน้นการลงทุน ให้ความสำคัญด้านพลังงานทดแทนอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อไปสู่เป้าหมาย การมีแหล่งรายได้ระยะยาว ซึ่งผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น โดยตั้งเป้าหมายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าขนาด 1,200 – 1,300 เมกะวัตต์ ภายในปีนี้ จากปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 1,005.32 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นในประเทศ 768.60 เมกะวัตต์ และในต่างประเทศ 236.72 เมกะวัตต์ ” นายจอมทรัพย์ กล่าวในที่สุด