นายชาติชาย พานิชชีวะ ประธานกรรมการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2558 ที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ปิดท้ายไตรมาสที่ 4 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี เนื่องรัฐบาลช่วยผลักดันมาตรการกระตุ้น สนับสนุนเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย พร้อมลดค่าธรรมเนียมโอน และจดจำนอง (สิ้นสุด 30 เม.ย.59) คาดว่าจะทำให้ตลาดเติบโตจากปี 2557 ราวร้อยละ 15 จากมูลค่าตลาดรวม 3.4 แสนล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดมิเนียม ในย่านใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ มีการแข่งขันที่รุนแรงมาก เห็นได้ชัดจากการเปิดโครงการใหม่ที่มีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมที่มีราคาตั้งแต่ระดับ กลาง ไปถึงระดับสูง และในปีที่ผ่านมาโครงการภายใต้ "ชีวาทัย" ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดผู้ซื้อ ซึ่งโครงการของเราจะเน้นที่ โลเคชั่นเป็นหลัก ตอบโจทย์ไลฟ์ไตล์ของผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบัน ซึ่งส่งผลต่อการเลือกซื้อ และมั่นใจในศักยภาพของ "ชีวาทัย" ทำให้ในปีที่ผ่านมาเราเติบโตเกินเป้าที่เราวางไว้
นายชาติชาย กล่าวอีกว่า ด้วยศักยภาพของชีวาทัย เราได้พันธมิตรร่วมทุนที่ดีอย่าง TEE Development Pte Ltd ในเครือ TEE Land Ltd. ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสิงคโปร์ เป็นพันธมิตรถือหุ้นร่วมในสัดส่วนที่ร้อยละ 49 ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการก่อสร้าง พัฒนาโครงการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับการยอมรับในประเทศสิงคโปร์และเอเชีย ดังนั้นทำให้เรามั่นใจในศักยภาพของเรา พร้อมก้าวสู่ตลาดการแข่งขันในการพัฒนาโครงการทั้งที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในปีนี้และในอนาคต ภายในปีนี้ "ชีวาทัย" ยังเตรียมผุดโปรเจค โครงการดีๆ อีกหลายโครงการรองรับการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
"ชีวาทัย เราให้ความสำคัญในคุณภาพของงานและโครงการเป็นหลัก และให้ความสำคัญในการเลือกทำเลที่ตั้งอันเป็นโจทย์แรกของผู้อาศัยในสังคมปัจจุบัน ประกอบกับการวางมาตรฐานและราคาให้มีความเหมาะสมและตอบโจทย์ในตลาดของผู้ซื้อในปัจจุบัน และในการเลือกวัสดุภายในโครงการเราให้ความใส่ใจในรูปแบบทันสมัย ตรงกับไลฟ์สไตล์เทรนด์ที่อยู่อาศัยในสังคมปัจจุบัน หากมองในองค์ประกอบภาพรวมจะเห็นว่า ชีวาทัยให้ความสำคัญในทุกๆ ด้านอันเป็นปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดของผู้อยู่อาศัย ดังนั้นปัจจัย 2 สิ่งที่เราให้ความสำคัญ คือ 1.คอนโดมิเนียม บ้าน ที่อยู่อาศัยต้องมีการเดินทาง คมนาคมที่สะดวก 2.ที่อยู่อาศัยต้องตอบโจทย์ผู้อยู่ ภายใต้โครงการต้องรองรับไลฟ์ไตล์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และภาพลักษณ์ของโครงการเป็นเสมือนตัวตนของผู้อยู่อาศัย" นายชาติชายกล่าวทิ้งท้าย
มร.บุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยศักยภาพและความเชื่อมั่นใจในการดำเนินงานของเรามากว่า 8 ปีที่ผ่านมา จากความสำเร็จของการพัฒนาโครงการที่ผ่านมา ชีวาทัยได้ทำการพัฒนาโครงการทั้งในส่วนของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบที่อยู่อาศัย และพัฒนาโรงงานสำเร็จรูปให้เช่าที่พัฒนาทั้งหมด 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 6,870 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 7 โครงการ ประกอบด้วย โครงการที่ก่อสร้างเสร็จและปิดการขายแล้ว 1 โครงการคือ โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ สุรวงศ์ ความสูง 8 ชั้น จำนวนทั้งสิ้น 52 ยูนิต และโครงการที่ก่อสร้างเสร็จและอยู่ระหว่างการขายอีก 5 โครงการ ได้แก่ โครงการชีวาทัย ราชปรารภ ความสูง 26 ชั้น จำนวนทั้งสิ้น 325 ยูนิต โครงการชีวาทัย รามคำแหง ความสูง 33 ชั้น จำนวนทั้งสิ้น 535 ยูนิต โครงการฮอลล์มาร์ค งามวงศ์วาน ความสูง 8 ชั้น จำนวนทั้งสิ้น 792 ยูนิต โครงการชีวาทัย อินเตอร์เชนจ์ ความสูง 26 ชั้น จำนวนทั้งสิ้น 279 ยูนิต และโครงการฮอลล์มาร์ค แจ้งวัฒนะ ความสูง 8 ชั้น จำนวนทั้งสิ้น 427 ยูนิต อีกหนึ่งโครงการที่เราต้องการพัฒนาโครงการรองรับตลาดผู้อยู่อาศัยระดับ Luxury กับ โครงการชีวาทัย บางโพ ด้วยทำเลที่ตอบโจทย์ใกล้วิวแม่น้ำ การเดินทางคมนาคมที่รองรับทั้ง MRT สายสีน้ำเงิน (บางซื่อ-ท่าพระ) ทางด่วน ใกล้สนามบิน ใกล้แหล่งชอปปิ้ง อีกทั้งเป็นอาคารสูง 24 ชั้น จำนวน 172 ยูนิต เปิดราคาขายโดยเฉลี่ยตารางเมตรละ 130,000 บาท มูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,040 ล้าน
"ส่วนการพัฒนาโรงงานสำเร็จรูปให้เช่ามีทั้งสิ้น 2 โครงการ ในเขตพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ อำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง โดยโครงการแรกประกอบด้วยโรงงานสำเร็จรูป 10 หลัง บนที่ดิน 26 ไร่เศษ มีพื้นที่ให้เช่ารวม 17,120 ตารางเมตร มูลค่าประมาณ 300 ล้านบาท ปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้เช่าพื้นที่ ส่วนโครงการที่ 2 ประกอบด้วย โรงงานสำเร็จรูป 4 หลัง บนที่ดินกว่า 13 ไร่ มีพื้นที่ให้เช่ารวม 9,100 ตารางเมตร มูลค่า 175 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาพื้นที่ให้เช่าของชีวาทัยในปีที่ผ่านมา"
มร.บุญ ชุน เกียรติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในปีที่ 2558 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดรายได้รวมที่ 1,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 218 จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้รวม 413 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 81 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 93 จากปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 43 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการในการดำเนินงานถือว่าเติบโตและมีรายรับที่เกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้ แผนการในการพัฒนาตลาดอสังหาริมทรัพย์ของเราในปีนี้ เราตั้งเป้าในการปรับแบรนด์ให้เข้ากับตลาดกลุ่มผู้ซื้อ ผู้อยู่อาศัย โดยแบรนด์ "ชีวาทัย" เป็นโครงการคอนโดมิเนียมที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อระดับพรีเมียม และแบรนด์ "ฮอลล์มาร์ค" เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมที่รองรับความต้องการกลุ่มลูกค้าตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ทันสมัย และอีกหนึ่งแบรนด์ใหม่ "ชีวารมย์" ที่เราต้องการพัฒนาตลาดบ้านและทาวน์โฮม เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตของเรา
"ภายในปี 2559 แผนการพัฒนาโครงการของชีวาทัย เราจะพัฒนาทั้งในส่วนของคอนโดมิเนียม และกลุ่มบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเรายังมั่นใจในศักยภาพของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งในอนาคตการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์เราเชื่อว่าจะยังคงเดินหน้าไปพร้อมๆ กับการขยายตัวของการพัฒนาด้านคมนาคมภายในประเทศ และที่เห็นเด่นชัดคือ อสังหาริมทรัพย์แนวรถไฟฟ้า (BTS MRT) ทั้งใต้ดินและบนดินมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้ "ชีวาทัย" ยังเตรียมความพร้อมในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ (MAI) เพื่อเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของ "ชีวาทัย" สอดคล้องกับแนวคิด "ชีวาทัย" Build a Life" มร.บุญ ชุน เกียรติ กล่าวสรุป