นายชาคริต ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในปี 2556 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการลงทุนในโครงการใหม่ของภาคเอกชนในรูปแบบต่างๆ อาทิ การย้ายฐานการผลิตของกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆเข้าสู่ภาคตะวันออก การเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศที่เป็นผลจากการเปิด AEC การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในเขตหัวเมืองต่างๆ และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐ สำหรับแนวโน้มความต้องการสินค้ายังคงมุ่งเน้นไปที่สินค้าทดแทนแรงงาน อาทิ คอนกรีตสำเร็จรูป อิฐมวลเบา เพื่อประหยัดเวลาในการก่อสร้าง แก้ปัญหาต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นและขาดแคลน ปัจจัยดังกล่าวส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัท เนื่องจากทำให้ความต้องการสินค้าประเภทดังกล่าวสูงขึ้น สร้างโอกาสในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งนี้คาดว่าในปี 2555 รายได้รวมของบริษัทจะเติบโตตามเป้าหมาย 15-20% อย่างแน่นอน และอัตราการเติบโตจะโดดเด่นมากขึ้นตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมโดยรวม
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/55 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 707.3 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 576.65 ล้านบาท จำนวน 130.6 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.6 % และมีกำไรสุทธิ 100.9 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7.8 ล้านบาท จำนวน 93.1 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,180.4%
ขณะที่งวด 9 เดือนบริษัทมีรายได้รวม 1,911.55 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,682.42 ล้านบาท จำนวน 229.10 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 13.62% และมีกำไรสุทธิ 165.37 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 14.36 ล้านบาท จำนวน 151.01 ล้านบาท หรือปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,051.60%
ทั้งนี้ผลประกอบการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการคอนกรีตรูปแบบต่างๆในตลาดมีค่อนข้างสูง การเพิ่มขึ้นโครงการก่อสร้างต่างๆทั้งงานโครงการใหม่และงานบูรณะซ่อมแซมจึงส่งผลให้มีความต้องการวัสดุก่อสร้าง เช่น คอนกรีตสำเร็จรูป ผนังคอนกรีตอิฐมวลเบา รวมไปถึงวัสดุก่อสร้างอื่นๆเพิ่มขึ้น อีกทั้งวัสดุก่อสร้างยังมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงส่งผลให้มีการปรับขึ้นของราคาวัสดุ และนอกจากนี้บริษัทยังได้มีการขายที่ดินให้กับบุคคลอื่น โดยรับรู้เป็นกำไรพิเศษจากการขายสินทรัพย์ เป็นจำนวน 78.1 ล้านบาท