วันที่ 19 มีนาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เผยว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน ได้ร่วมมือกับ บริษัท ซิโนเปค อินเตอร์เนชั่นแนล ปิโตรเลียม เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ปอเรชั่น (SINOPEC) พัฒนากำลังแรงงานให้มีฝีมือตรงกับเทคโนโลยี และความต้องการของภาคอุตสาหกรรม มอบหมายให้บูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ และเอกชน เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายให้บรรลุผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อร่วมดำเนินการพัฒนาบุคลากรของ กพร. และขยายผลการฝึกอบรมให้แก่แรงงานไทย เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ร่วมกันจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมสาขาเทคโนโลยีการเชื่อมอัตโนมัติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม รวมถึงร่วมกันจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติสาขาด้านปิโตรเลียม ซึ่งจะเป็นการยกระดับทักษะฝีมือให้แก่แรงงานไทย รองรับงานด้านอุตสาหกรรมปิโตรเลียม 1 ใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญที่รัฐบาลภายใต้การนำของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการส่งเสริมเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
รมช.แรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า มีแผนพัฒนาบุคลากรฝึกอบรมของ กพร. สาขาอุตสาหกรรมปิโตรเลียม จำนวน 2 รุ่น รุ่นละ 20 คน ณ ศูนย์ฝึกอบรมของบริษัทจังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นวิทยากรต้นแบบขยายผลการฝึกให้แก่กำลังแรงงานของประเทศต่อไป ปัจจุบัน อยู่ระหว่างร่วมกันจัดทำหลักสูตรเพื่อใช้ในการฝึกอบรม ได้แก่ การเชื่อมท่อกึ่งอัตโนมัติ เส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 30 นิ้ว และการเชื่อมท่อกึ่งอัตโนมัติ เส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 30 นิ้ว การเชื่อมท่อกึ่งอัตโนมัติในภาชนะรับแรงดัน เป้าหมายดำเนินการฝึก 300 คนต่อปี เข้ารับการฝึกศูนย์ฝึกอบรมของบริษัทหรือสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 ชลบุรี โดยบริษัท SINOPEC สนับสนุนวิทยากร วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือที่จำเป็นในการฝึกอบรมด้วย นอกจากนี้ ยังร่วมกันจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ สาขาเทคโนโลยีการเชื่อมอัตโนมัติในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม เพื่อการันตีว่าแรงงานไทยเป็นแรงงานที่มีมาตรฐาน และพร้อมที่จะปฏิบัติงานได้อย่างมีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ และในอนาคต คาดว่าจะจัดตั้งศูนย์ฝึกอบรมทักษะด้านเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมปิโตรเลียม ณ จังหวัดชลบุรี เพื่อเป็นศูนย์ผลิตแรงงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านงานเชื่อมท่อในอุตสาหกรรมปิโตรเลียมโดยเฉพาะ ป้อนตลาดแรงงานทั้งในและต่างประเทศ
"เป็นโอกาสดีที่แรงงานไทยจะได้ยกระดับทักษะฝีมือที่สูงขึ้น มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีฝีมือตรงกับเทคโนโลยีและความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้มีโอกาสในการประกอบอาชีพมากขึ้น นำไปสู่การมีอาชีพ มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืนต่อไป" รมช.แรงาน กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา: กระทรวงแรงงาน