ในการเสวนาทาง กลต. ได้อธิบายถึงรายละเอียดและหลักเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับเครื่องมือสำคัญในการระดมทุน รวมทั้งได้มีการสะท้อนปัญหาและอุปสรรคของสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีไทยที่ยังขาดความเข้าใจและยังไม่เห็นถึงประโยชน์ของตลาดทุน, กฏเกณฑ์ที่ไม่เอื้ออำนวยกับการระดมทุน รวมทั้งขาดช่องทางในการลงทุนในธุรกิจ โดยบางช่วงของการเสวนา ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และข้อสงสัยร่วมกับสภาดิจิทัลฯ และตัวแทนสตาร์ทอัพทั้ง 2 ราย ในประเด็นที่น่าสนใจ เช่น รูปแบบการระดมทุน ESOP เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ดี มีผลต่อการสำเร็จธุรกิจอย่างมาก เป็นการสร้างความเป็นเจ้าของธุรกิจให้แก่พนักงาน, การปลดล็อกภาษีประเด็น Capital Gain Tax เพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพไทย ทำให้สามารถดึงดูดการลงทุนได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันส่งเสริมให้ภาครัฐเป็นผู้ลงทุนร่วมกับภาคเอกชน (Matching Fund) มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นแหล่งทุนขนาดใหญ่แล้ว Startup ยังสามารถใช้เป็นเงื่อนไขในการต่อรองหรือลดการกดดันจาก VC ต่างประเทศที่มักบังคับให้ Startup ไทยไปจดทะเบียนที่ประเทศอื่นอีกด้วย ทั้งนี้ประเด็นดังกล่าว โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จะต้องมีการพิจารณาร่วมกันและนำเสนอข้อคิดเห็นต่อกรมสรรพากรต่อไป นอกจากนี้ประเด็นการกำหนดคุณสมบัตินักลงทุนที่ กลต. ต้องพิจารณาเรื่องกฎเกณฑ์ดังกล่าวเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่าง ผู้ประกอบการ (Issuer) ทำอย่างไรให้ระดมทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยต้นทุนที่เหมาะสม รวมไปถึงการคุ้มครองที่เหมาะสมแก่นักลงทุนต่างๆ เป็นต้น
ทั้งนี้จากการเสวนา ดร.อธิป อัศวานันท์ ผู้อำนวยการ สภาดิจิทัลฯ ได้แสดงถึงบทบาทการเป็นตัวแทนภาคเอกชนอุตสาหกรรมดิจิทัลไทยในการร่วมสร้างความสำเร็จในการช่วยเหลือและผลักดันนโยบายแนวคิดหลักในการระดมทุนของ กตล. ดังกล่าวไปยังกลุ่มผู้ประกอบการให้เห็นถึงความสำคัญของการระดมทุน ทั้งนี้ สภาดิจิทัลฯ เล็งเห็นว่ากลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพ มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก ตั้งแต่การสร้างรายได้ สร้างงาน นอกจากนั้นยังมีบทบาทสำคัญในการคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการนวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนใน ยุค 4.0 อีกทั้งการทำให้สตาร์ทอัพไทยประสบความเสร็จได้ จำเป็นต้องมีการสร้าง Ecosystem ให้ที่ดีให้เกิดขึ้น อันประกอบด้วย นักลงทุน บุคลากร หน่วยงานสนับสนุน (เช่นIncubators/Accelerators), หน่วยงานวิจัย (เช่น มหาวิทยาลัย) บริษัทขนาดใหญ่ และภาครัฐ (นโยบาย และกฎระเบียบ) ดังจะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบ (Impact) ในการสร้าง Ecosystem คือ นโยบาย และกฎระเบียบต่างๆ เหล่านี้คือหน้าที่สำคัญของสภาดิจิทัลฯ ที่ร่วมสร้าง Ecosystem ให้เข้มแข็ง และอาศัยการทำงานสอดประสานกับภาครัฐ เพื่อร่วมกันผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Regional Hub ในอนาคต
ดร.อธิปกล่าวในตอนท้ายรายการว่า สภาดิจิทัลฯ กำลังเร่งดำเนินการจัดทำ Guideline รูปแบบสัญญา อันจะช่วยลดต้นทุนแก่กลุ่มผู้ประกอบการ ไม่จำเป็นต้องไปว่าจ้างนักกฎหมายในการจัดทำเอกสารประกอบต่างๆ เหล่านี้ อีกทั้งสภาดิจิทัลฯ จะร่วมดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้และเผยแพร่เอกสารเหล่านี้ร่วมกับทาง กลต ในอนาคต อันจะช่วยสร้างโอกาสในการลงทุนนำไปสู่ความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อให้ธุรกิจผู้ประกอบการสตาร์ทอัพไทย ให้สามารถเติบโตเพื่อการแข่งขันได้ในระดับโลกต่อไป
ที่มา: สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย