สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2564 ของ B-WORK มีกำไรจากการลงทุนสุทธิ 83.45 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากการรับรู้ค่าเช่าและค่าบริการตามสัญญา และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR และเติบโตขึ้น 12.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2563 อันเนื่องมาจากการปรับขึ้นค่าเช่าและค่าบริการตามสัญญา รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงอาคารลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
"แม้จะเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) แต่ B-WORK ก็บริหารจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดี ทำให้ผลการดำเนินงานยังคงมีความแข็งแกร่ง สามารถจ่ายเงินปันผลได้ต่อเนื่อง" นายพรชลิต กล่าว
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหน่วยทรัสต์ B-WORK เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมครั้งที่ 1 เป็นการลงทุนในกรรมสิทธิ์ที่ดิน อาคารและสิ่งปลูกสร้าง และงานระบบของโครงการบางกอก บิสซิเนส เซ็นเตอร์ จากบริษัทย่อยของบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) มูลค่าไม่เกิน 1,550 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังอนุมัติการเพิ่มทุนของกองทรัสต์ โดยออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์ไม่เกิน 86.5 ล้านหน่วย อนุมัติการกู้ยืมเงินในวงเงินกู้ยืมระยะยาว/ระยะสั้น ไม่เกิน 1,000 ล้านบาท และ/หรือการออกและเสนอขายหุ้นกู้ของกองทรัสต์ B-WORK วงเงินไม่เกิน 1,920 ล้านบาทด้วย
หลังการลงทุนในทรัพย์สินที่จะลงทุนเพิ่มเติม และการเพิ่มทุนครั้งที่ 1 ของกองทรัสต์โดยการออกและเสนอขายหน่วยทรัสต์เพิ่มเติม กองทรัสต์จะเปลี่ยนชื่อภาษาไทยจาก "ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บัวหลวง ออฟฟิศ" เป็น "ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์บัวหลวง ออฟฟิศ" ส่วนชื่อภาษาอังกฤษ จะเปลี่ยนจาก "Bualuang Office Leasehold Real Estate Investment Trust" เป็น "Bualuang Office Freehold and Leasehold Real Estate Investment Trust" ส่วนชื่อย่อหลักทรัพย์ยังเป็น B-WORK เช่นเดิม
ที่มา: กองทุนบัวหลวง