บล.ทิสโก้ คาดกำไร บจ.ไตรมาส 1 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนบรรยากาศลงทุนเดือน เม.ย.

ศุกร์ ๐๑ เมษายน ๒๐๒๒ ๑๔:๒๙
บล.ทิสโก้คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนไทยไตรมาส 1/2565 พุ่งแตะ 3 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนภาพรวมลงทุนเดือน เม.ย. พร้อมเตือนนักลงทุนไม่ต้องตื่นตระหนกกับการเกิด Inverted Yield Curve ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ในบางคู่ จนรีบเทขายหุ้นทิ้งทั้งหมด แนะติดตามสถานการณ์ โดยอาจขายปรับพอร์ต - ถือเงินสดเพิ่มขึ้นบางส่วนในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเท่านั้น
บล.ทิสโก้ คาดกำไร บจ.ไตรมาส 1 พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หนุนบรรยากาศลงทุนเดือน เม.ย.

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) เดือนที่ผ่านมาแกว่งตัวไปตามพัฒนาการของสงครามยูเครน - รัสเซีย ที่บล.ทิสโก้ประเมินไว้ 3 กรณี โดยภาพรวมการเคลื่อนไหวหลักของ SET Index อยู่ในกรอบ 1,660 - 1,700 จุด ซึ่งเป็นกรณีฐานที่ประเมินไว้ บล.ทิสโก้เชื่อว่า ความหวังการเจรจาสันติภาพที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และแนวโน้มกำไรสุทธิไตรมาส 1/2565 ของตลาดโดยรวมที่เบื้องต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2 หลักทั้งเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (YoY) และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) แตะระดับ 3 แสนล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ น่าจะช่วยหล่อเลี้ยงบรรยากาศการลงทุนโดยรวมต่อเนื่องในเดือนนี้

สำหรับผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของ บล.ทิสโก้ ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ BAY, BBL, KBANK, KKP, KTB, SCB และ TTB คาดว่าไตรมาส 1/2565 จะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 4.89 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.4% YoY และเพิ่มขึ้น 21.7% QoQ การเติบโต YoY หลักๆ มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของสินเชื่อ และการตั้งสำรองฯ (ต้นทุนเครดิต) ที่คาดจะลดลงจากการกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ขณะที่การเติบโตของกำไร QoQ มาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และต้นทุนเครดิตที่ลดลง บล.ทิสโก้เชื่อว่า ธนาคารขนาดใหญ่ยังมีโอกาสเห็นต้นทุนเครดิตลดลงได้มากกว่าธนาคารขนาดเล็ก รวมทั้งจะได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว หลักๆ มาจากผลกระทบของสงครามยูเครน-รัสเซีย และมาตรการคว่ำบาตรต่างๆ รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และแนวโน้มการเร่งเข้มงวดทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยและการเริ่มดึงสภาพคล่องออกจากระบบในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนนี้ เชื่อว่าจะไม่เป็นผลดีต่อตลาดโดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่ และทิศทางของกระแสเงินทุนต่างประเทศในระยะถัดไป

สำหรับการเริ่มเกิดปรากฎการณ์ "Inverted Yield Curve" ซึ่งเป็นภาวะที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุสั้นสูงกว่าผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลอายุยาว โดยเกิดสัญญาณขึ้นในในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Bond Yield) บางคู่ เช่น คู่ของอายุ 10 ปี - 5 ปี และคู่ของอายุ 30 ปี - 5 ปี เป็นต้น ขณะที่คู่ของอายุ 10 ปี - 2 ปี ก็ใกล้จะติดลบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในมุมมองของ บล.ทิสโก้เชื่อว่า คู่ของอายุ 10 ปี - 3 เดือน น่าจะสะท้อนภาพวัฏจักรเศรษฐกิจได้ดีกว่า

"จากการศึกษาข้อมูล US Bond Yield คู่ของอายุ 10 ปี - 3 เดือนนับตั้งแต่ปี 2513 พบว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ คู่ของอายุ 10 ปี - 3 เดือนติดลบทุกครั้ง โดยใช้เวลาเฉลี่ย 19 เดือนหลัง Yield Curve ติดลบ ขณะที่ราคาหุ้น (MSCI DM Index) จะผันผวนสูงในช่วงเดือนแรกๆ ที่เกิด Inverted Yield Curve ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นในช่วง 4-5 เดือนถัดไป ซึ่งหลังจากนั้นตลาดหุ้นมักจะเกิดการปรับฐานลงครั้งใหญ่ตามมา โดยใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 13 เดือน โดยมีระยะเวลาที่สั้นที่สุด คือ 6 เดือน และนานที่สุด คือ ประมาณ 2 ปี" นายอภิชาติกล่าว

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ปัจจุบันส่วนต่าง US Bond Yield คู่ของอายุ 10 ปี - 2 ปี ใกล้จะติดลบแล้ว แต่ บล.ทิสโก้มองเป็นเพียงสัญญาณเตือนให้เพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนเท่านั้น และอยากให้นักลงทุนพิจารณาควบคู่ไปกับส่วนต่าง US Bond Yield คู่ของอายุ 10 ปี - 3 เดือน ซึ่งปัจจุบันยังเป็นบวกกว่า 180 bps ดังนั้น นักลงทุนยังไม่ต้องตื่นตระหนกกับการเกิด Inverted Yield Curve ในบางคู่ จนรีบเทขายหุ้นทิ้งทั้งหมด บล.ทิสโก้แนะนำเพียงแค่ติดตามพัฒนาการของสถานการณ์การลงทุนให้ใกล้ชิดมากขึ้นกว่าเดิม และ/หรือ อาจขายปรับพอร์ต-ถือเงินสดเพิ่มขึ้นบางส่วนในช่วงที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเท่านั้น

จากมุมมองข้างต้น บล.ทิสโก้ยังคงกลยุทธ์ "Selective Buy" สำหรับการลงทุนในเดือนเมษายนมีประเด็นหุ้นที่น่าสนใจ คือ 1.หุ้นที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำ PTTEP, PTTGC / BBL 2.หุ้นเปิดเมืองรับการผ่อนคลายต่างชาติเข้าประเทศง่ายขึ้นและการเตรียมปรับ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นแนะนำ MINT และ 3. หุ้นอิงเศรษฐกิจในประเทศที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เด่น AP, BCH, SPVI เพราะฉะนั้นหุ้นเด่นที่บล.ทิสโก้แนะนำในเดือนเมษายน คือ AP, BBL, BCH, MINT, PTTEP, PTTGC และ SPVI ด้านแนวรับสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,660 - 1,670 จุด และแนวรับถัดไปที่ 1,640 จุด และ 1,620 จุด ตามลำดับ และแนวต้านสำคัญของ SET Index เดือนนี้อยู่ที่ 1,700 - 1,705 จุด และแนวต้านต่อไปคือ 1,720 - 1,730 จุด และ 1750 จุด ตามลำดับ

ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๘ มี.ค. องค์การบรรจุภัณฑ์โลก จับมือ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ร่วมจัดกิจกรรมสัมมนาออนไลน์
๒๘ มี.ค. การแข่งขันกีฬาขี่ม้าโปโลรายการ King Power International Ladies' Polo Tournament 2024
๒๘ มี.ค. DEXON ปักธงรายได้ปี 67 ทะลุ 700 ลบ. โชว์ Backlog เฉียด 280 ลบ. ล็อคมาร์จิ้น 35-40%
๒๘ มี.ค. JPARK ร่วมงาน Dinner Talk ผู้บริหารจดทะเบียนพบนักลงทุน จ.ราชบุรี
๒๘ มี.ค. นีเวีย ซัน และ วัตสัน จับมือต่อปีที่สองชวนดูแลท้องทะเล กับโครงการ เพราะแคร์ จึงชวนแชร์ ร่วมพิทักษ์รักษ์ทะเลไทย
๒๘ มี.ค. Cloud เทคโนโลยีที่อยู่ใกล้ตัว เพียงแค่คุณไม่รู้เท่านั้นเอง
๒๘ มี.ค. โรยัล คานิน ร่วมกับ เพ็ทแอนด์มี จัดงาน Royal Canin Expo 2024: PAWRENTS' DAY เพื่อสร้างโลกที่ดีขึ้นสำหรับน้องแมวและน้องหมา
๒๘ มี.ค. STEAM Creative Math Competition
๒๘ มี.ค. A-HOST ร่วมวาน MFEC Inspire ขึ้นบรรยายพร้อมจัดบูธ Cost Optimization Pavilion
๒๘ มี.ค. ฟินเวอร์! ส่องความคิ้วท์ 'ฟอส-บุ๊ค' ควงคู่ร่วมงาน Discover Thailand เสิร์ฟโมเมนต์ฉ่ำให้แฟนๆ ได้ดับร้อนกันยกด้อมรับซัมเมอร์ และร่วมส่งต่อความสุขในกิจกรรม 'Exclusive Unseen Food Trip กับ คู่ซี้