นายซาเมียร์ กุล ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ลีวายส์ สเตราส์ แอนด์ โค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ ประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทลีวาย สเตราส์ แอนด์ โค ประสบความสำเร็จอย่างมากในการดำเนินกิจการ ผ่านวิกฤติเศรษฐกิจ ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดอันร้ายแรง โดยในปี 2564 มีรายได้เพิ่มขึ้น 5.8 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด19 และรายรับสุทธิในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 อยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ของปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตทางธุรกิจจากทั่วทุกภูมิภาคทั่วโลก อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากการรักษาความสำเร็จด้านธุรกิจแล้วทางบริษัทยังเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจไป สู่ความยั่งยืนอีกด้วย เพื่อสานต่อมรดก 169 ปี ของตำนานยีนส์ลีวายส์ตัวแรกได้กำเนิดขึ้นมา จนถึงวันนี้เราจึงต้องร่วมกันดำเนินธุรกิจบนความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการพัฒนานวัตกรรมไปด้วยกัน
"สำหรับตลาดในประเทศไทย ลีวาย สเตราส์ แอนด์ โค เป็นเจ้าของและดำเนินการเอง 100% ซึ่งสาขากว่าหนึ่งร้อย สาขาที่ได้รับการตกแต่งและปรับปรุงใหม่จากทั่วประเทศ จะกลายเป็นกำลังสำคัญของเราในการสร้างแรงผลักดัน ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมนี้ โดยกางเกงยีนส์ลีวายส์ 501(R) อันเป็นเอกลักษณ์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ บริษัทฯ ที่ผลิตขึ้นด้วยเทคโนโลยี Water<Less(TM) ของเราเองนั้นผลิตขึ้นด้วยหลักคิดของความยั่งยืนเช่นกัน ซึ่งกำลัง จะได้นำมาเสนอให้กับแฟนๆ ชาวไทยได้สัมผัสเร็วๆ นี้" นายซาเมียร์ ระบุ
ผู้จัดการทั่วไปบริษัท ลีวายส์ สเตราส์ แอนด์ โค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และประเทศไทยยังได้กล่าว อีกว่า บริษัทเน้นการก้าวเข้าสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นปรัชญาในการทำธุรกิจ อีกทั้งความสำเร็จจะเกิดได้จะต้อง กำกับให้บรรลุความสำเร็จด้วยการกำหนดทิศทางชัดเจน ตั้งเป้าหมายให้เป็นจริง และเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามา มีส่วนร่วม โดยให้ความสำคัญไปยัง 3 ภารกิจหลักประกอบด้วย
1.การสร้างคุณภาพอากาศให้ดีขึ้น ตั้งเป้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงงานของเรา โดยเมื่อเทียบกับฐานข้อมูลจากปี 2559 พบว่ามีการเพิ่มการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจากเดิม 90% เป็น 100% ในโรงงานทุกแห่งที่เราเป็นเจ้าของ ประมาณการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ถึง 40% ส่วนในโรงงานอื่น ๆ ที่รับจ้างผลิตสินค้าให้เราต้องทำให้ได้ภายในปี 2568 ซึ่งเร็วกว่าบริษัทส่วนใหญ่ใน อุตสาหกรรมเครื่องแต่งกายถึง 5 ปี และนี่ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับเราที่สะท้อนให้เห็นคุณค่าของบริษัท แทนที่จะวัดกันที่มูลค่าของผลกำไรหรือขนาดของบริษัท
2.ใช้นวัตกรรมใหม่เพื่อช่วยประหยัดน้ำ โดยบริษัทได้ใช้เทคนิคใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นเอง และใช้โอเพ่น ซอสในกระบวนการผลิตยีนส์ หนึ่งในนั้นคือ Water<Less(R) ที่ช่วยลดการใช้น้ำได้ถึง 96% ของปริมาณปกติ ที่ใช้ในการผลิตยีนส์ ช่วยให้กระบวนการผลิตยั่งยืนมากขึ้น นอกจากนี้พบว่าตั้งแต่การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ สามารถประหยัดน้ำไปได้ถึง 13,000 ล้านลิตร อีกทั้งยังพร้อมเปิดห้องปฏิบัติการ Eureka Innovation ให้บริษัทในกลุ่มธุรกิจเดียวกันจำนวน 20 ราย เยี่ยมชมและศึกษาวิธีการลดการใช้น้ำ รวมถึงเทคนิค Water<Less(R) ด้วยเพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาไปพร้อม ๆ กันทั้งอุตสาหกรรม
3.การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ด้วยเทคโนโลยี อาทิ WellThread(R) ซึ่งมีห้องปฏิบัติการ สำหรับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ มุ่งเน้นเรื่องความยั่งยืนในทุกๆ ขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบ ไปจนถึงการผลิต โดยสินค้าแบรนด์ลีวายส์ คอลเลกชันปี 2564 ที่ผ่านมามีทั้งผ้าที่ผสมเส้นใยกัญชง 55% เทคนิคการย้อมสีธรรมชาติ และการใช้ผ้าที่ผ่านการรีไซเคิลมากขึ้น
นอกจากความร่วมมือกับคู้ค้าและบริษัทคู่แข่ง บริษัทฯยังตั้งเป้าในการสื่อสารในเรื่องการซื้อของอย่างมีจิตสำนึกต่อ กลุ่มผู้สนับสนุนของเรา ผ่านแคมเปญ Buy Better, Wear Longer ของลีวายส์ โดยได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อเดือนเมษายนปี 2564 พูดถึงการซื้อสินค้าที่มีความคงทนจาก แบรนด์ที่มีมาอย่างยาวนาน และนำมาสวมใส่ได้นานกว่า เพื่อสนับสนุน เศรษฐกิจหมุนเวียน อย่างไรก็ดีที่ผ่านมาบริษัทได้ออกโครงการ SecondHand ในปี 2563 มีการรับซื้อคืนและนำมา ขายใหม่ เพื่อให้แฟนๆ ได้มีโอกาสซื้อยีนส์ลีวายส์มือสองผ่านทางออนไลน์ และสามารถนำยีนส์ใช้แล้วมาคืนที่ร้าน เพื่อแลกรับบัตรของขวัญสำหรับการซื้อของครั้งต่อไป
ในประเทศไทย ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ผลิตโดยนวัตกรรมยั่งยืนนั้นจะมีการวางจำหน่ายทั้งที่หน้าร้าน และในร้านค้าออนไลน์ สำหรับลูกค้าปัจจุบัน มีร้านที่เปิดใหม่หลายแห่งเช่นที่ เซ็นทรัลลาดพร้าว ที่มีบริการตัดแต่ง (Tailor Shop) โดยสามารถ นำกางเกงยีนส์ไปปรับขนาด ใส่ลวดลายที่สวยงามและตัดตามขนาดของลูกค้าได้ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใส่และชื่นชอบ ยีนส์ของตัวเองไปได้นานยิ่งขึ้น
บริษัท ลีวายส์ สเตราส์ แอนด์ โค จะยังคงยึดมั่นในหลักการในการสร้างกำไร โดยมุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่มีความยั่งยืน มากขึ้น เราจะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ในการผลิต และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้า ได้มีส่วนร่วมด้วย ผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่า 'Care Tag for the Planet' จะมีวิธีการดูแลสินค้าอย่างตรงไปตรงมา เพื่อความยั่งยืน โดยจะเย็บป้ายเหล่านี้เข้ากับสินค้า เพื่อแนะนำให้มีการซักน้อยครั้งลง ใช้น้ำเย็น การปั่นแห้ง และให้บริจาคเมื่อไม่ต้องการแล้ว
ที่มา: นิโอ ทาร์เก็ต
