เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ชี้ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลต่อต้นทุนภาคธุรกิจ แต่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ

พุธ ๑๐ สิงหาคม ๒๐๒๒ ๑๔:๐๖
ทีมวิจัย บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ชี้จากการที่กระทรวงแรงงานเตรียมพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ โดยจะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาในช่วงเดือน ก.ย. และคาดว่าจะผ่านมติและบังคับใช้ให้ได้ในช่วงประมาณเดือนตุลาคม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากค่าครองชีพให้แก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี ส่งผลทำให้ค่าแรงเฉลี่ยทั้งประเทศอยู่ในช่วงประมาณ 330 - 350 บาท ต่อวัน จากฐานเดิม โดยพิจารณาตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของแต่ละจังหวัด
เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ชี้ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลต่อต้นทุนภาคธุรกิจ แต่จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อ

ผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ น่าจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานไม่มีฝีมือ (Unskilled Labor) ซึ่งเป็นกลุ่มแรงงานที่จะถูกปรับขึ้นค่าแรง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42.4% (อ้างอิงจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ) ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรม เกษตรกรรม ก่อสร้าง และ ภาคบริการ อย่างไรก็ตามประเมินผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยในภาพรวม และ กำไรบริษัทจดทะเบียน แบบเป็นกลาง (Neutral) เนื่องจาก 1) การปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ จะส่งผลเชิงลบต่อเพียงแค่บางอุตสาหกรรมและธุรกิจ 2) ในเชิงเปรียบเทียบ การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำครั้งนี้มีอัตราการปรับขึ้นต่ำกว่าครั้งปี 2556 (ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท/วัน ทั่วประเทศ) อย่างมีนัยสำคัญ 3) ภาคธุรกิจปรับตัวรองรับกับภาวะต้นทุนที่ปรับตัวสูงขึ้น อันเนื่องมาจากราคาพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์ มาแล้วระยะหนึ่ง  (อาทิเช่น ปรับขึ้นราคาขาย  ใช้นโยบายลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น)  4) อานิสงค์บวกจากกำลังซื้อที่เพิ่มสูงขึ้น เป็นปัจจัยบวกต่อการบริโภคของไทย และหนุนให้ภาครัฐเก็บ Vat ได้มากขึ้น

โดยผลกระทบที่เกิดขึ้นแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม จากกรณีที่มีการปรับค่าแรงขึ้นต่ำขึ้น 10% จะส่งผล ดังนี้

  • กลุ่มก่อสร้าง โดนผลกระทบเชิงลบมากที่สุด แนวโน้มกำไรในปี 2566 จะโดนกระทบประมาณ 3-8% แต่ในขณะเดียวกันความสามารถในการปรับขึ้นราคาขายน่าจะทำได้ต่ำ (ประเมินที่ระดับประมาณ 1 จาก 10 คะแนน)
  • กลุ่มท่องเที่ยว โดนผลกระทบต่อกำไรมากที่สุดประมาณ 6-55% ในขณะที่ความสามารถในการปรับขึ้นราคาขาย ถือว่าอยู่ในระดับกลาง (ประมาณ 4 จาก 10 คะแนน)
  • ส่วนกลุ่มอื่นๆ ผลกระทบค่อนข้างจำกัด เช่น กลุ่มการแพทย์ ที่แม้ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นจะกระทบกำไรประมาณ 2-14% แต่ความสามารถในการปรับเพิ่มราคาขายและบริการน่าจะสามารถทำได้ จากประเภทของสินค้าที่ถือเป็นสินค้าจำเป็น (ระดับคะแนนประมาณ 8 จาก 10) เช่นเดียวกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆที่ส่วนใหญ่พึ่งพาแรงงานที่ได้รับค่าแรงขึ้นต่ำ หรือแรงงานไร้ฝีมือ ในสัดส่วนที่ไม่มาก นอกจากนี้บางกลุ่มอุตสาหกรรม นำโดย ค้าปลีก และการเงิน น่าจะได้ sentiment เชิงบวก จากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มความเสี่ยงด้านเครดิตที่ต่ำลงของกลุ่มลูกค้าฐานราก

ที่มา: หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๙ เม.ย. บิทูเมน มารีน บริษัทลูก TASCO ลงนามสัญญาต่อเรือขนส่งยางมะตอย เสริมศักยภาพกองเรือ
๑๙ เม.ย. รมว.เกษตรฯ ลุยร้อยเอ็ด ผลักดันโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ 3 แห่ง
๑๙ เม.ย. กูรูหุ้นเชียร์ซื้อ PSP เคาะเป้าราคาสูงสุด 8 บ./หุ้น ยอดขายพุ่ง-หนี้ลด ดันกำไรปี 67 ออลไทม์ไฮ ดีล MA สร้าง New S-Curve
๑๙ เม.ย. ข้าวกล้อง-จักรีภัทร พร้อมเต็มร้อย! ประเดิม จูเนียร์จีพี สนามแรก ประเทศอิตาลี
๑๙ เม.ย. กรมประมงขอเชิญร่วมแข่งขันตกปลาชะโด
๑๙ เม.ย. เชลล์ดอน การ์ตูนดังร่วมสาดความสนุกในเทศกาลสงกรานต์
๑๙ เม.ย. สปสช. ติดปีกเทคโนโลยีไอทีด้วยคลาวด์กลางภาครัฐ GDCC ยกระดับบริการบัตรทองรวดเร็วทันสมัย ดูแลสุขภาพคนไทยยุคดิจิทัล
๑๙ เม.ย. GSK ร่วมงาน Re-imagining UK Aging Care Event ของสถานทูตอังกฤษ มุ่งสร้างเสริมภูมิคุ้มกันผู้สูงอายุ
๑๙ เม.ย. เอส เอฟ จับมือ กปน. มอบสิทธิ์ดูฟรีรวม 1,000 ที่นั่ง เพียงใช้ MWA Point ที่ เอส เอฟ!!
๑๙ เม.ย. เตรียมพร้อมนับถอยหลัง 12 ชั่วโมงสุดท้าย! ก่อนเริ่มประวัติศาสตร์ครั้งใหม่ Bitcoin Halving ครั้งที่ 4