สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ซึ่งเป็น Partner Institute กับ World Competitiveness Center แห่งสถาบัน IMD (International Institute for Management Development) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ในโครงการ World Competitiveness Survey มาตั้งแต่ปี 2540 เผยผลถึงการประกาศผลของ IMD ในการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่างๆ รวม 60 ประเทศทั่วโลกประจำปี 2556 ซึ่งในปีนี้สหรัฐอเมริกาได้รับการจัดอยู่ในอันดับสูงสุด เลื่อนขึ้นหนึ่งอันดับจากเมื่อปีที่แล้ว รองลงมาได้แก่ สวิสเซอร์แลนด์ซึ่งเลื่อนขึ้นหนึ่งอันดับเช่นกัน ในขณะที่ฮ่องกงซึ่งเคยเป็นอันดับหนึ่งในปีที่แล้วเลื่อนลงอยู่อันดับสาม
สำหรับประเทศไทย ผลการจัดอันดับในปี 2556 ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ในลำดับที่ 27 สูงขึ้นจากลำดับที่ 30 ในปี 2555 โดยมีอันดับดีขึ้นในทั้ง 4 หมวดที่ IMD ใช้ในการจัดอันดับ ดังนี้
1. สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) มีการปรับตัวดีขึ้นมากที่สุด โดยดีขึ้นถึง 6 อันดับจากอันดับที่ 15 ในปี 2555 มาเป็นอันดับที่ 9 ในปี 2556 เนื่องมาจากปัจจัยชี้วัดย่อยส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Economy) ปรับตัวขึ้นมาเป็นอันดับที่ 14 จากอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศภายหลังสถานการณ์น้ำท่วม นอกจากนั้นยังมีการปรับตัวดีขึ้นในด้านการค้าระหว่างประเทศ และการลงทุนระหว่างประเทศ และมีการปรับตัวลงเล็กน้อยในด้านการจ้างงานและระดับราคาในประเทศ
2. ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) ได้รับการจัดอันดับดีขึ้น 4 อันดับจากอันดับที่ 26 ในปี 2555 มาเป็นอันดับที่ 22 ในปี 2556 เนื่องมาจากปัจจัยย่อยส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นได้แก่ นโยบายการคลัง กรอบการบริหารด้านสถาบัน ในขณะที่ด้านการเงินภาครัฐปรับตัวลดลง 1 อันดับ นอกจากนี้ มีประเด็นที่ยังควรได้รับการปรับปรุงถึงแม้จะมีอันดับที่ดีขึ้นอีก 2 ด้าน ได้แก่ กฎหมายด้านธุรกิจ และกรอบดำเนินการด้านสังคม ที่อยู่ในอันดับที่ 43 และ 48 ตามลำดับ
3. ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ปรับตัวดีขึ้น 5 อันดับจากอันดับที่ 23 ในปี 2555 มาเป็นอันดับที่ 18 ในปี 2556 โดยมีการปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกด้าน ทั้งทางด้านตลาดแรงงาน ด้านการเงิน และแนวปฏิบัติด้านการบริหารจัดการ โดยมีอันดับคงเดิมในด้านทัศนคติและค่านิยม แต่ประเด็นที่ควรได้รับการปรับปรุงคือด้านผลิตภาพและประสิทธิภาพที่ยังคงอยู่ในอันดับค่อนข้างต่ำ (อันดับ 44) ถึงแม้ว่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่แล้ว
4. โครงสร้างพื้นฐาน อันดับของประเทศไทยในหมวดนี้ยังคงอยู่ในระดับต่ำถึงแม้จะปรับตัวดีขึ้น 1 อันดับจากอันดับที่ 49 ในปี 2555 มาเป็นอันดับที่ 48 ในปี 2556 โดยเกือบทุกปัจจัยยังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำถึงแม้จะปรับตัวดีขึ้นบ้าง ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี (อันดับ 47) การศึกษา (อันดับ 51) และโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ (อันดับ 40) รวมถึงการเข้าถึงบริการสุขภาพและสิ่งแวดล้อมมีอันดับลดลงอีก (อันดับที่ 55)
นางพรกนก วิภูษณวรรณ Director, TMA Center for Competitiveness กล่าวว่า “จากผลการจัดอันดับดังกล่าวพบว่าจุดเด่นและจุดด้อยของประเทศไทยในภาพรวมยังคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยประเด็นที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับค่อนข้างดีได้แก่ ตลาดแรงงานและการจ้างงาน การค้าระหว่างประเทศ และนโยบายการคลัง ส่วนประเด็นที่ยังอยู่ในอันดับต่ำได้แก่ ด้านการเข้าถึงบริการสุขภาพและสิ่งแวดล้อม การศึกษา กรอบการดำเนินการด้านสังคม กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ ผลิตภาพและประสิทธิภาพของแรงงานและภาคการผลิต รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นประเด็นท้าทายสำหรับประเทศไทย ที่ต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการเสริมสร้างและใช้ประโยชน์จากจุดเด่นรวมทั้งปรับปรุงแก้ไขจุดด้อยเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน”
ด้วยตระหนักถึงความจำเป็นดังกล่าว สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) ที่มีส่วนร่วมกับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศของ IMD มากว่า 15 ปี จึงได้ริเริ่มโครงการ Thailand Competitiveness Enhancement Program ขึ้นตั้งแต่ปี 2552 โดยร่วมมือกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดให้มีการระดมความคิดเห็นจากผู้บริหารทั้งภาครัฐและเอกชนเกี่ยวกับประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะเพื่อนำมาจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีการกำหนดแนวทางและบทบาทของทั้งภาครัฐและเอกชนในดำเนินการ และมีการติดตามผล ทบทวนและนำเสนอความคืบหน้าในการสัมมนา Thailand Competitiveness Conference เป็นประจำทุกปี รวมทั้งมีการนำเสนอข้อมูลต่อรัฐบาลเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการของภาครัฐ ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดเป้าหมายการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไว้ในยุทธศาสตร์ประเทศที่ได้มีการประกาศเมื่อเดือนมกราคม 2556
ด้าน นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธาน TMA กล่าวว่า “TMA เชื่อว่าความสำเร็จในการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศจะเกิดขึ้นได้ ทุกภาคส่วนของประเทศทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องดำเนินการอย่างสอดคล้องมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน โดยภาครัฐเป็นผู้สร้างปัจจัยสนับสนุนและสร้างสภาพแวดล้อมและกฎกติกาที่ทำให้ภาคเอกชนดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ภาคเอกชนต้องพัฒนาศักยภาพของตนเองให้มีความเข้มแข็ง มีความสามารถในการปรับตัวได้ทันกับสภาพแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และควรมีหน่วยงานทำหน้าที่ศูนย์กลางในการเชื่อมโยงการดำเนินการของหน่วยงานต่างๆ ทั้งในภาครัฐและเอกชนกับยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งในภาคเอกชน TMA ได้จัดตั้ง TMA Center for Competitiveness ขึ้น เพื่อประสานและผลักดันการดำเนินการของภาคเอกชนตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยมีการเชื่อมโยงกับภาครัฐผ่านสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้งนี้ นอกเหนือจากการประสานผลักดันความร่วมมือในภาคเอกชนแล้ว TMA ยังพร้อมสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันขององค์กรด้านความเป็นเลิศในการบริหารจัดการอีกด้วย”
ทั้งนี้ ในปี 2556 TMA กำหนดจัดงาน Thailand Competitiveness Enhancement Program 2013 ในวันที่ 11-12 กันยายน 2556 เพื่อนำเสนอความคืบหน้าการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจะมีผู้บริหารของ IMD World Competitiveness Center มานำเสนอและวิเคราะห์แนวโน้มความเปลี่ยนแปลงของโลกที่จะมีผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รวมทั้งวิเคราะห์ผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในงานดังกล่าว
สื่อมวลชนติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ :
สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) โทร. 02 319 7677 แฟกซ์ 02 319 5666