รายงานระบุว่า การบรรลุเป้าหมายดังกล่าวไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเงินลงทุน เพราะจีนมีอัตราการออมเงินและการลงทุนในระดับสูง ส่วนผลกระทบที่มีต่อ GDP ต่อหัวในปี 2050 น่าจะน้อยมาก นอกจากนี้ การตั้งเป้าหมายปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 จะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการพัฒนานวัตกรรม ช่วยให้คุณภาพอากาศดีขึ้นอย่างมาก และทำให้จีนก้าวขึ้นเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีในหลายอุตสาหกรรม
รายงานดังกล่าวยังแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่จีนสามารถใช้ลดความต้องการพลังงานขั้นสุดท้าย (final energy demand) ขณะที่มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการลดความต้องการใช้เหล็กและซีเมนต์ การนำวัสดุทุกชนิดกลับมาหมุนเวียนให้มากขึ้น โดยเฉพาะพลาสติก และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า จะทำให้จีนมี GDP ต่อหัวและมาตรฐานความเป็นอยู่สูงกว่าปัจจุบันสามเท่า และช่วยลดความต้องการพลังงานขั้นสุดท้ายจาก 88 exajoules (EJ) ในปัจจุบัน สู่ระดับ 64 EJ ในปี 2050 ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการพลังงานขั้นต้น (primary energy demand) ของจีนลดลง 45% จากระดับ 132 EJ ในปัจจุบัน สู่ระดับ 73 EJ ในปี 2050 แนวโน้มดังกล่าวจะทำให้แหล่งพลังงานเปลี่ยนแปลงไป โดยความต้องการเชื้อเพลิงฟอสซิลจะร่วงลงกว่า 90% ส่วนความต้องการเชื้อเพลิงที่ไม่ใช่ฟอสซิลจะเพิ่มขึ้น 3.4 เท่า
สำหรับในฝั่งอุปทาน การบรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ต้องขจัดคาร์บอนจากกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าทั้งหมด รวมถึงเพิ่มการใช้ไฟฟ้าอย่างมหาศาลสู่ระดับ 15,000 TWh ในปี 2050 จากระดับ 7,000 TWh ในปี 2018 โดยการผลิตไฟฟ้าราว 75% จากทั้งหมดจะใช้พลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งยังเชื่อมกับกริดได้อย่างยืดหยุ่นและมีทางเลือกหลากหลายในการกักเก็บพลังงาน นอกจากนั้นยังอาจมีการผลิตและใช้ไฮโดรเจนเพิ่มขึ้นกว่าสามเท่า จาก 25 ล้านตันเป็นกว่า 80 ล้านตันในปี 2050 ขณะที่การผลิตพลังงานชีวภาพ รวมถึงการดักจับ กักเก็บ และใช้คาร์บอน ก็มีความสำคัญเช่นกัน แม้จะมีบทบาทน้อยกว่าก็ตาม
รายงานฉบับนี้ยังนำเสนอแนวทางปฏิบัติและนโยบายสาธารณะที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์อีกด้วย
สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่ http://www.energy-transitions.org/china-2050-fully-developed-rich-zero-carbon-economy
ติดต่อ
Nick Steel
โทร: (347) 574-0887
อีเมล: [email protected]