Final Destination 5 ไฟนอล เดสติเนชั่น 5 โกงตายสุดขีด

พฤหัส ๐๔ สิงหาคม ๒๐๑๑ ๑๖:๕๓
ไม่ว่าจะหนีไปไหน ไม่ว่าจะหลบซ่อนอยู่ที่ใด…เราไม่อาจโกงความตายไปได้

หรือคุณโกงได้? ในภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 5” ความตายยังอยู่ในทุกหนทุกแห่งเช่นเดิม โดยครั้งแรกความตายเข้าคุกคามในสภาพที่เหมือนจริงต่อกลุ่มผู้ร่วมงานที่ headed for a corporate retreat ระหว่างการเดินทางด้วยรสบัส แซม (นิโคลาส ดี’อกอสโต้) ได้เกิดภาพนิมิตว่าเขาและเพื่อนๆ ส่วนใหญ่รวมถึงคนอื่นๆ จบชีวิตลงตรงสะพานพังทลายลง เมื่อภาพนิมิตของเขาหายไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็เริ่มสะท้อนถึงสิ่งที่เขาเห็นมา เขาจึงนำทางเพื่อนร่วมงานจำนวนมาก รวมถึงเพื่อนของเขา ปีเตอร์ (ไมเลส ฟิสเชอร์) และแฟนสาว มอลลี่ (เอ็มม่า เบล) ออกจากหายนะไปอย่างลนลาน ก่อนที่ความตายจะล่าพวกเขาได้

แต่ดวงวิญญาณบริสุทธิ์เหล่านี้ไม่เคยนึกถึงเรื่องการรอดชีวิตมาได้ และในการแข่งกับเวลาที่น่ากลัว กลุ่มผู้เคราะห์ร้ายนี้ก็พยายามหาทางหลีกหนีหมายกำหนดตาย

ภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 5” เป็นภาพยนตร์ “Final Destination” ภาคที่สองที่ถ่ายทำในระบบ 3 มิติ กำกับภาพยนตร์โดย สตีเฟ่น เควล ซึ่งเป็นการกำกับภาพยนตร์ของเขาเป็นครั้งแรก บทภาพยนตร์เขียนขึ้นโดย อีริค เฮสเซอเรอร์ อ้างอิงจากตัวละครที่สร้างขึ้นโดยเจฟฟรีย์ เรดดิค อำนวยการสร้างโดยเคร็ก เพอร์รี่ และ วอร์เร็น ไซด์ ที่กลับมาร่วมงานเป็นครั้งที่ 5 สร้างผลงานร่วมกับผู้อำนวยการสร้างบริหาร ริชาร์ด บรีเนอร์, วัลเตอร์ ฮามาดะ, เดฟ นิวสแตดเตอร์, อีริค โฮล์มเบิร์ก และ ชีล่า ฮานาฮาน เทย์เลอร์

ภาพยนตร์นำเหล่านักแสดงมารวมตัวกัน นำโดย นิโคลาส ดี’อกอสโต้ (“Fired Up!,” ภาพยนตร์ทางทีวี “Heroes”), เอ็มม่า เบล (“Frozen,” ภาพยนตร์ทางทีวีเรื่อง “The Walking Dead”), ไมเลส ฟิสเชอร์ (ภาพยนตร์ทางทีวี “Mad Men” และ “Gossip Girl”), คอร์ตนีย์ บี. แวนซ์ (ภาพยนตร์ทางทีวี “Flash Forward,” “ER”) และ อาร์เล็น เอสคาร์เพต้า (“Friday the 13th”) ร่วมกับ เดวิด โคชเนอร์ (“The Office,” “Anchorman”) และสัญลักษณ์แห่งภาพยนตร์แฟรนไชส์เรื่อง “Final Destination” โทนี่ ทอดด์ (“Hatchet II”) รายล้อมไปด้วยเหล่านักแสดงอย่าง พี.เจ.เบิร์น (“Dinner for Schmucks”), เอลเล็น รอว์ (ภาพยนตร์ทางทีวี “Huge”) และ แจ็คเกอลีน แม็คลินเนส วูด (ภาพยนตร์ทางทีวี “The Bold and the Beautiful”)

ผู้ร่วมงานกับเควลเบื้องหลังฉาก ได้แก่ ผู้กำกับฉาก ไบรอัน เพียร์สัน (“Drive Angry 3D,” “My Bloody Valentine 3D”); ผู้ออกแบบฉาก เดวิด อาร์. แซนเดอเฟอร์ (“Repo Men,” “Journey to the Center of the Earth”); ผู้ลำดับภาพ อีริค เซียร์ส (“Shooter”); ผู้ควบคุมวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เอเรียล วีแลสโก้ ชอว์ (“Final Destination 3”) และผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย โจริ วูดแมน (“Eight Below”) ดนตรีโดย ไบรอัน ไทเลอร์ (“Fast Five”)

ภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 5” อำนวยการสร้างโดยนิวไลน์ ซีเนม่า จัดจำหน่ายทั่วโลกโดยวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์ หนึ่งในกลุ่มบริษัทวอร์เนอร์ บราเดอร์ส เอ็นเตอร์เทนเมนท์

http://www.finaldestination5-thai.com

เกี่ยวกับขั้นตอนการสร้าง

“ความตายไม่ชอบการโกง…”

ในภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 5” ซึ่งเป็นภาคต่อตอนที่ 5 ของภาพยนตร์สสยองขวัญแฟรนไชส์ที่ประสบความสำเร็จ ความตายพิสูจน์อีกครั้งว่าเป็นสิ่งที่เฝ้าติดตามจนถึงที่สุด ความตายไล่ล่าติดตามกลุ่มเพื่อนที่พยายามหลีกหนีความตายที่ตามไล่ล่าอย่างไม่หยุดยั้ง

ในครั้งนี้ความตายถูกปลดปล่อยสู่กลุ่มผู้ร่วมงานหลายคน เมื่อพวกเขาร่วมเดินทางไปสู่การพักผ่อนของบริษัทที่เหมือนทริปค้างคืนระยะสั้น ขณะที่รถบัสให้เช่ากำลังมุ่งสู่จุดหมาย เส้นทางเดินรถได้พาพวกเขาไปข้ามสะพานขนาดใหญ่ที่ระงับใช้ชั่วคราว ซึ่งสะพานโค้งข้ามผ่านแม่น้ำที่มีกระแสน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีความสูงระหว่างสะพานถึงผิวน้ำ 200 ฟุต แต่ดูเหมือนชะตาของพวกเขาจะถูกคุ้มกันไว้ เมื่อสะพานแตกออกเป็นเสี่ยงต่อหน้าพวกเขา แซม ตัวละครที่บังเอิญเกิดภาพนิมิตพยายามหาทางช่วยพวกเขาอย่างเต็มที่ด้วยผลสำเร็จบางประการ…อย่างที่เขาคิด

ผู้กำกับสตี่เฟ่น เควล กล่าวว่า “ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Final Destination’ เรื่องก่อนๆ พวกเขาต้องตายอย่างเลี่ยงไม่ได้ และคำถามคือตายเมื่อไหร่และตายยังไง นั่นคือจุดที่อะดรีนาลีนวิ่งพล่าน แต่ในหนังภาคนี้เราเพิ่มจุดพลิกผันเข้าไป นั่นคือ บางคนอาจหาทางรอดได้”

สำหรับผู้อำนวยการสร้าง เคร็ก เพอร์รี่ โอกาสในการหวนกลับมาเป็นครั้งที่ 5 ไม่ได้มอบโอกาสให้เขาได้พบกับความคาดหวังของแฟนๆ เท่านั้น แต่ยังมาสั่นสะเทือนที่นั่งของพวกเขาอีกด้วย

“เรามองหนังพวกนี้ด้วยมุมมองที่จะพาหนังไปสู่ลำดับขั้นต่อไปอยู่เสมอ” เพอร์รี่กล่าวว่า “สิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้จากแฟนๆ คือพวกเขาอยากได้เรื่องราวที่น่ากลัวจนตัวเกร็ง และมีความบันเทิงที่สนุกสนานด้วย ฉะนั้นเราจึงพยายามปะทุมันขึ้นมา”

รู้ดีว่าพวกเขาอยากถ่ายหนังในระบบ 3 มิติ ผู้อำนวยการสร้างเคร็ก เพอร์รี่ และ วอร์เร็น ไวด์ จึงนำเควลผู้ชำนาญในด้านนี้มาลุยงาน

“ผมคิดว่าสตีฟไม่ได้ลืมรายละเอียดเกี่ยวกับ 3 มิติมากเท่าไหร่” เพอร์รี่ กล่าวว่า “เขาทำงานด้านนี้มาเป็นเวลา 20 ปีแล้วกับจิม คาเมรอน ไม่ใช่เทพแห่งด้าน 3 มิติเท่านั้นนะ แต่ในด้านหนังแอ็คชั่นด้วย และสตีฟก็รักหนังและมีความหลงใหลมันอย่างแท้จริง เขาอุทิศตัวให้กับทักษะความรู้ในวิชาของเขา ทำให้เขาเป็นผู้ร่วมแข่งขันที่ค่อนข้างเหมาะสมสำหรับสิ่งที่เราพยายามทำตอนนี้”

เควลรู้สึกว่าการทำงานในหนังเป็นจุดสำคัญที่ต้องยอมรับเลยว่าทำให้เขามีการท้าทายความคิดสร้างสรรค์ที่ต้องมายกระดับโครงเรื่องของภาพยนตร์แฟรนไชส์ “ผมฉายภาพยนตร์เรื่อง ‘Final Destination’ 4 ภาคก่อนแบบมาราธอนด้วยความรู้สึกของผู้ชมคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่ผมชอบที่สุดในแต่ละภาคเลย จากนั้นผมก็เริ่มคิดว่าผมจะทำอะไรเมื่อผมได้มาอยู่เบื้องหลังหน้ากล้อง”

ผู้เขียนบทภาพยนตร์ อีริค เฮสเซอเรอร์ กล่าวถึงการทำงานในเรื่อง “Final Destination 5” ว่าเป็นงานในฝันของนักเขียน ตั้งแต่การเริ่มต้นวางจุดดึงดูดของเรื่องเป็นเรื่องจำเป็น “ความคิดของเรื่อง ‘Final Destination’ คือหนึ่งในสถานการณ์ที่หาได้ยาก ต้องขอบคุณหนัง 4 ภาคก่อน ผมไม่ต้องใช้เวลานานไปกับการอธิบายเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชมจะเข้าใจเรื่อง มันเป็นเจตนาของผมตั้งแต่เริ่มเขียนเรื่องระทึกขวัญเหนือธรรมชาติที่น่าติดตามแล้วว่า มันต้องเป็นหนังเรื่อง ‘Final Destination’ เช่นเดียวกับแฟนๆ ที่ผมอยากได้ฉากการตายที่โหดๆ แต่ผมก็อยากอธิบายความเป็นมาของทุกๆ อย่างด้วยการแทรกความผิดชอบชั่วดีของตัวละครต่างๆ ที่ผลักดันให้พวกเขาต้องต่อสู้กับคำถามว่าอะไรหรือใครที่มีค่าที่สุด”

ด้วยสัญลักษณ์ของซีรี่ส์ที่มีการตายต่อกันแบบลูกโซ่ เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ชมเฝ้ารอด้วยความคาดหวัง ฉากต่างๆ ต้องยิ่งใหญ่ขึ้นและเหมาะสมขึ้นในแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นการมอบการท้าทายความสามารถที่น่าสนุกให้แก่ผู้เขียน

“สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับผม แน่นอนว่าเป็นการออกแบบท่าการตายในแบบต่างๆ ผมเดินทางหลายครั้งไปยังสถานที่จริงที่บทภาพยนตร์ของเราเริ่มต้นขึ้น ผมถ่ายภาพ วาดแผนผัง ทำการสอบถาม บ่อยครั้งที่มันรู้สึกเหมือนผมอยู่ในฉากของหนังอาชญากรรม แม้จะยังไม่มีอะไรที่เราได้ตัดสินใจ” เขาหัวเราะ “ความต่อเนื่องของเหตุการณ์ปกติเล็กๆ ที่เป็นตัวจุดชนวนให้ขั้นตอนทุกอย่างแสดงถึงความหายนะให้แก่ตัวละครต้องมีการวางแผนอย่างระมัดระวังหลายอย่าง เหรียญอีกด้านพลิกขึ้นมาเมื่อฉากการตายเป็นรูปเป็นร่าง มันก็เขียนได้อย่างสนุกและง่ายขึ้นมากแล้ว”

สำหรับสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในฉากการตาย ผู้อำนวยการสร้างและเควลได้ปักหลักพัฒนาเนื้อเรื่องและตัวละครซึ่งมีความสำคัญเหนือกว่าเท่าๆ กัน ถือเป็นการยอมรับในความสำคัญเรื่องความสนใจของผู้ชมในตัวละครที่น่าหลงใหล จากนั้นทำให้การเฝ้าดูการตายของพวกเขาเป็นเรื่องที่น่าสยดสยองมาจากภายในยิ่งขึ้น

“เราเริ่มสร้างภาพยนตร์ให้ดูน่าทึ่งด้วยฉากแอ็คชั่นที่น่าตื่นเต้น เริ่มจากสะพาน” เควลกล่าว “แต่ผมก็คิดว่าเหล่าตัวละครคือคนที่ผู้ชมอยากเฝ้าติดตาม เรื่องราวของพวกเขาจะช่วยขับเคลื่อนหนังไป เราจึงใช้เวลานานเพื่อมองหานักแสดงที่เหมาะสมต่อแต่ละบทบาท พวกเราโชคดีที่ได้นักแสดงกลุ่มนี้มา”

“ผมว่าเราพบความสมดุลครั้งยิ่งใหญ่ในหนังภาคนี้” เพอร์รี่กล่าว “สำหรับสะพานที่พังลงมา เรามีการเปิดตัวฉากอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา ต่อมาก็มีความตื่นเต้นทุกระยะที่ไม่ใช่แค่สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตัวละครเหล่านี้ แต่ที่สำคัญกว่าคือมันจะเกิดขึ้นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หนังเรื่อง ‘Final Destination’ มีความแตกต่างอย่างแท้จริง”

“ผู้โชคดีที่รอดชีวิตจากหายนะไม่กี่ราย

แล้วความตายจะมาหาพวกเขา…ทีละคน”

เรื่องราวของ “Final Destination 5” มุ่งความสนใจไปที่รอบตัวของ แซม พนักงานหนุ่มท่ามกลางวิกฤติด้านอาชีพ ระหว่างการยึดติดกับงานที่โรงงานกระดาษที่ต้องจ่ายค่าเช่า กับการเดินตามความชอบของตัวเองโดยการเป็นเชฟและมุ่งหน้าสู่ปารีส แต่ปารีสอาจทำให้เขาต้องสูญเสียผู้หญิงที่เขารัก และนั่นอาจเป็นมูลค่ายิ่งใหญ่ที่ต้องเสียไป

“เมื่อเราได้พบแซม เขาเป็นคนที่มีความสับสนในช่วงที่เขาคิดว่าเขากำลังเตรียมพร้อมจะไปพักผ่อน มอลลี่ แฟนสาวที่กำลังกำลังจะแยกทางจากเขา” นิโคลาส ดี’อกอสโต้ ผู้รับบทเป็นแซมกล่าวว่า “จากนั้นเมื่อพวกเขาขึ้นรถบัส เขาเกิดความเจ็บปวดอย่างกระทันหันจาก ‘สิ่งที่รู้สึกไม่ชอบมาพากล’ แต่ไม่ได้สนใจมัน เมื่อความตายเริ่มตามล่าทุกอย่างรอบตัวเขา เขารู้สึกกลัวจริงๆ ขึ้นมา เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นแบบนี้ได้ สิ่งที่เขาต้องจัดการเกี่ยวกับมันหรือวิธีโน้มน้าวเอฟบีไอว่าเขาไม่มีส่วนร่วมกับความตายที่อยู่รอบตัวเขา ที่เหนือกว่านั้นคือเขาพยายามสร้างบทสรุปในชีวิตของเขาเท่าที่มันดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”

เพอร์รี่กล่าวว่า “นิคเป็นผู้ชายที่ดูดีมีเสน่ห์ และนั่นหมายถึงแซมซึ่งเป็นกุญแจสำคัญตั้งแต่ที่ผู้ชมอยากควบคุมความกลัวไปกับเขา”

ดี’อกอสโต้ยิ้ม “สิ่งที่ผมรักในแฟรนไชส์เรื่องนี้ คือมันทิ้งปริศนาปลายเปิดเอาไว้ให้ผู้ชมว่า ‘ใครหรืออะไรเป็นตัวบอกลางถึงตัวละครเหล่านี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงความตายให้ยาวนานพอที่มันจะเข้ามาล่าพวกเขาไป?’ ผมว่ามันเป็นข้อสงสัยที่น่าสนุกที่แฟนๆ จะมีส่วนร่วมได้ และแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ผมจะไม่พยายามตอบ…แม้ว่าผมจะมีไอเดียส่วนตัวเกี่ยวกับมันก็ตาม”

เมื่อความตายเลือกคนที่ใกล้ตัวและเป็นที่รักของแซมที่สุดไป ไม่มีใครหาเหตุผลในแผนการตายสุดสยองนี้ได้ นอกจากความรักในชีวิตของเขาเอ็มม่า เบล ผู้รับบทเป็นแฟนสาวของแซม มอลลี่ หญิงสาวผู้อ่อนหวานที่รักแฟนหนุ่มสุดหัวใจ แต่รู้สึกว่าเส้นทางชีวิตของพวกเขากำลังเดินหน้าไปในทิศทางที่ต่างกัน

ความสำคัญในตัวมอลลี่ เบลกล่าวว่า “เธออาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ และรู้สึกมีความสุขกับมันมาก ฉันคิดว่าเธอไม่เคยฝันถึงการย้ายเข้าเมือง หรืออยากเป็นส่วนหนึ่งของมันเลย เธอคบกับแซมแต่เธอรู้ดีว่าเขามีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เธอจะมีได้ และไม่แน่ใจว่าจะรักษาระดับความรักของเธอที่มีต่อเขาโดยไม่รั้งเขากลับมาจากการไล่ตามความสำเร็จของเขาได้อย่างไร มอลลี่เข้าใจในทางเลือกที่แซมจะพาเธอไปยังปารีสด้วย แต่เธอไม่อยากให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น เธอจึงสร้างทางเลือกนั้นให้เขาเอง”

เพอร์รี่นึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่ได้เห็นเบลในภาพยนตร์แรกๆ และคิดว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน? เธอน่าอัศจรรย์จัง’ เมื่อเราผ่านขั้นตอนการคัดเลือกนักแสดงมาและมีชื่อของเธอปรากฏขึ้นมา เราจึงกระโดดเข้าใส่เลย เอ็มม่ามีแววตาที่น่าทึ่ง เธอสามารถแสดงทั้งฉากโดยไม่ต้องพูดอะไรเลยได้”

เพื่อนสนิทและผู้ควบคุมที่ใกล้ชิดในทำงานของแซมคือ ปีเตอร์ รับบทแสดงโดยไมเลส ฟิสเชอร์ “นี่คือตัวละครที่ค่อนข้างมีความตรงไปตรงมาเหมือน 1+1=2” ฟิสเชอร์พิสูจน์ให้เห็น “เมื่อความตายเริ่มตามล่าเขากับเพื่อนๆ เขาพยายามหาคำอธิบายที่ดูสมเหตุสมผล เพราะสิ่งที่เขาคิดไม่ได้เอื้ออำนวยต่อสิ่งใดๆ และเมื่อความตายมาทวงชีวิตคนที่ใกล้ชิดเขา ผมว่ามันเป็นสิ่งที่ลงล็อคอยู่ในตัว เขาแค่ไม่สามารถสรุปเรื่องราวในความคิดหรือความรู้สึกของเขาและพยายามเข้าใจมันได้ เขาจึงเริ่มจับเบาะแสเรื่องราวอย่างเต็มที่”

เพอร์รี่กล่าวว่าตัวละครของปีเตอร์อาจแหวกแนวไปจากแฟรนไชส์ที่สุด และทำให้หนังมีการเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้นแบบที่พวกเขาไม่เคยเปิดเผยมาก่อน “มีการหักมุมและการพลิกผันสำหรับแฟนๆ หลายอย่าง แต่ผมว่าสิ่งที่น่าสนุกที่สุดคือเราเลือกตัวละครขึ้นมาและเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของเขา เมื่อโลกรอบตัวเขาพังทลายลง เขาต้องค้นหาวิธีโกงเพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้ ซึ่งเปรียบเสมือนคู่อริองก์ที่สามของบท ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่เคยมีมาก่อน”

ฟิสเชอร์สนุกกับการแสดงในซีรี่ส์แนวนี้ “สิ่งที่วิเศษสุดในหนังพวกนี้คือทุกคนรู้กฏข้อตกลงดี พวกเขารู้ว่าทุกคนต้องตายในรูปแบบที่น่าสยองแน่ๆ และความสนุกคือการยั่วผู้ชม อุบัติเหตุเกิดขึ้นในทุกวัน เช่น ในอ่างอาบน้ำ ในเตียงอบผิวแทน สนามแข่งรถ ทุกครั้งที่คุณขึ้นเครื่องบิน หนังเหล่านี้สร้างจินตนาการและทำให้คุณขวัญผวา แต่มันก็จบลงด้วยอารมณ์แห่งความสนุกสนาน มันเป็นความสนุกที่ได้แสดงในเรื่องนั้นและได้พามันไปในระดับที่แตกต่าง”

แคนดิซ แฟนสาวของปีเตอร์รับบทแสดงโดย เอลเล็น รอว์ นักแสดงสาวอดีตนักยิมนาสติก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้สร้างภาพยนตร์กำลังมองหาอยู่ อันที่จริงกิจกรรมที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่รอว์มีการเปิดตัวในภาพยนตร์เป็นครั้งแรก “ตอนที่ฉันเข้าแข่งขัน พวกเราต้องนอนค้างด้วยกันทุกคืนวันเสาร์และดูหนังสยองขวัญด้วยกัน รวมถึงเรื่อง ‘Final Destination’ ด้วย ฉันตกใจอย่างมากและต้องคอยปิดตา แต่หลังจากนั้นเราก็ดูหนังทั้งหมดอีกรอบ”

เควลบอกว่าไม่มีข้อสงสัยอยู่ในใจเขาเลยว่ารอว์คือคนที่ใช่ “เอลเล็นมีความกล้าและละเอียดอ่อน รวมถึงมีพื้นด้านการยิมนาสติก เมื่อเราเห็นเธอผมรู้เลยว่าการค้นหาสิ้นสุดลงแล้ว เราพบกับแคนดิซแล้ว”

เพราะเธอไม่ได้เล่นกีฬามาเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ผู้ควบคุมสตั๊นท์ เจ.เจ.มากาโร่มีนักแสดงสตั๊นท์ 2 คนรอคิวและศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับยิมนาสติกเพื่อฉากที่แคนดิสต้องผ่านกิจวัตรประจำวันยุ่งๆ หลายอย่าง แต่มากาโร่อธิบายว่าไม่จำเป็นต้องใช้ตัวแสดงแทนเลย

“เอลเล็นเป็นการเซอร์ไพรส์สุดยิ่งใหญ่ ฉันเตรียมการสำหรับเธอว่าต้องใช้นักแสดงแทนหญิงในฉากกิจวัตรที่ซับซ้อน แต่เอลเล็นมาจากโรงยิมโดยตรงและเริ่มแสดงออกมา ทุกครั้งเราคิดว่าเราอยู่ในจุดที่สามารถช่วยเธอได้ แต่เธอกลับทำให้เราประหลาดใจ สุดท้ายโคชยิมนาสติกของเราพูดว่า ‘คนที่เราต้องใช้แสดงทั้งหมดในเรื่องคือเอลเล็น’ หลักการทำงานและการเสียสละของเธอเหนือกว่าอย่างน่าประทับใจ”

“มันเป็นความลำบากนิดหน่อยที่ต้องกลับสู่สภาพเดิม และอยู่ในจุดที่ฉันห่างหายมานานหลายปี แต่ฉันก็รับความท้าทายไว้” รอว์กล่าว “ช่วงเวลา 2-3 อาทิตย์ที่ฉันเข้าร่วมฝึกซ้อมประจำวัน 2-3 ชั่วโมงทักษะทั้งหลายของฉันก็กลับมา”

ตัวละครหนึ่งที่ไม่ต้องมีหลักการทำงานมากคือไอแซ็ค เป็นเพียงคนเดียวในออฟฟิศที่คอยกวนใจทุกคน และทำให้ผู้หญิงไม่ค่อยสบอารมณ์ ถึงแม้เขาจะพยายามแก้ตัวในการกระทำของเขาก็ตาม ครั้งนี้สำหรับภาพยนตร์แนวสยองขวัญ นักแสดงชาย พี.เจ.เบิร์น มีความกระตือรือร้นที่จะมารับบทบาท “ผมคิดว่า ‘เมื่อผมมีโอกาสตายแบบนั้นอีกครั้งบนจอ ขอเป็น 3 มิติคนเดียวเลยได้มั้ย?’ นั่นคือสิ่งที่ ‘Final Destination 5’ กระตุ้นผม”

เบิร์นบรรยายถึงไอแซ็คและแรงบันดาลใจหลักในชีวิตของเขาว่า “ไอแซ็คชอบสาวๆ ไอแซ็คหลงตัวเอง และไอแซ็คชอบเลือกผู้หญิงให้ตัวเอง! เขาอ่านหนังสือวิธีจีบสาวและเขาจะทำให้ได้ถึง 99 คน และบางทีแค่บางทีเท่านั้นนะ เขาจะไปถึงผู้หญิงคนที่ 100 ด้วย สุดท้ายแล้วเขาจะควบคุมสถานการณ์ตลอดเวลา” เขายิ้ม

หากไอแซ็คเลี่ยงหน้าที่รับผิดชอบของเขา นาธาน เพื่อนร่วมงานของเขาที่โรงงานกระดาษ Presage ก็จะแบกรับเอาไว้เอง รับบทแสดงโดย อาร์เล็น เอสคาร์เพต้า นาธานเป็นพนักงานขยันที่ต้องรักษาสมดุล เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการด้วยการควบคุมเรื่องต่างๆ ในแหล่งผลิตของโรงงาน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เขาจะทำตัวกลมกลืนได้ง่ายๆ เลย

“นาธานสนับสนุนงานอุตสาหกรรมทั้งสองฝ่าย ทั้งที่เขาต้องจัดการกับพนักงานในโรงงาน และอยู่ในทีมผู้บริหารที่เป็นเพื่อนของเขาด้วย” เอสคาร์เพต้ากล่าว “แถมเขายังหนุ่มกว่าผู้ชายส่วนใหญ่ที่เขาควบคุมด้วย เขาจึงต้องทำตัวเป็นกันเองอย่างมากจากการเป็นผู้ทรงคุณวุฒิคนหนึ่ง และเขาต้องต่อสู้ว่าจะรับมือกับมันโดยที่ไม่เสียอารมณ์ไปได้อย่างไร”

ผู้ร่วมงานอีกคนที่ Presage คือโอลิเวีย สาวสวยสไตล์ร็อคแอนด์โรลที่ดูดีผสมผสานกับความมั่นใจแบบทันสมัย ซึ่งการผสมผสานกันทุกอย่างเป็นการลบปมด้อยอย่างหนึ่งของเธอ นั่นคือ สายตาที่ไม่ดีของเธอ เธอเบื่อหน่ายการสวมแว่นที่ต้องมีกรอบ โอลิเวียเลือกผ่าตัดสายตาด้วยเลเซอร์ พร้อมกับผลลัพธ์ที่ผิดคาด

แจ็คเกอลีน แม็คลินเนส วูด กล่าวถึงการแสดงฉากว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่แทบบ้าและเข้มข้นที่สุดสำหรับฉัน ความกลัวของโอลิเวียคือสิ่งที่สะท้อนถึงการสติแตกของฉันจริงๆ ฉันชอบการท้าทายเสมอ ฉันขับมอไซค์ เล่นสเก็ตบอร์ด ขอให้บอกมา แต่ไม่มีอะไรเตรียมการฉันสำหรับสิ่งนี้มาก่อน มันน่ากลัวจริงๆ”

ผู้ชมเรื่อง “Final Destination” ถกเถียงกันตลอดว่าตัวละครไหนที่เสียชีวิตลงอย่างน่าสยดสยองที่สุด หรือการตายครั้งไหนที่สร้างสรรค์ที่สุด แต่สำหรับตอนที่ 5 เหล่านักแสดงและทีมงานต่างเห็นตรงกันว่าฉากเหตุการณ์ของโอลิเวียชนะไปอย่างชัดเจน เควลเชื่อว่ามันเป็นฉากที่จะทิ้งท้ายไว้ให้ผู้ชมคิดทบทวนอีกครั้งก่อนเลือกทำให้สายตาเป็นปกติ

“การศัลยกรรมลักษณะนั้นเป็นสิ่งที่แพร่หลายในปัจจุบัน แต่อารมณ์ที่แจ็คเกอใส่เข้าไปในฉากของเธอทำให้เธอแล้วยากที่พวกเราจะรับได้ เธอสามารถสร้างความประทับใจในฉากระทึกขวัญที่สำคัญในช่วงเวลาที่สยดสยองได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สยดสยองสำหรับผม”

เด็นนิส หัวหน้าที่ Presage ซึ่งเป็นโรงงานกระดาษที่สมติขึ้นมา รับบทโดยนักแสดงตลก เดวิด โคชเนอร์ ซึ่งแฟนๆ จะรู้จักเขาดีในบทบาทตัวละครที่ไม่อยู่ในร่องในรอยทางทีวี หลายสถานการณ์ในชีวิตจริงแล้ว ไม่ค่อยมีความรักเข้ามาหาลูกจ้างของเด็นนิสเท่าไหร่นัก เป็นการเพิ่มความตลกเข้าไปให้ผ่อนคลายจากความโกลาหล โคชเนอร์ไม่เคยดูหนังเรื่อง ‘Final Destination’ มาก่อน หัวเราะให้ตัวเองเบาๆ เมื่อเขาคิดถึงบทบาทเป็นครั้งแรก

“ผมเป็นพวกกลัวแมว” เขาสารภาพ “ผมเลยไม่แน่ใจในสิ่งที่ผมจะไปแสดงนัก จากนั้นพวกเขาก็แสดงฟิล์มที่รวบรวมการตายตั้งแต่ต้นจนจบของหนังทุกเรื่องให้ผมดู และผมคิดว่าพวกเขาเสียสติ”

“เดวิด โคชเนอร์ เป็นหนึ่งในคนที่มีอารมณ์ขันที่สุดที่ผมเคยพบ และเขาเป็นนักแสดงตลกที่มีฝีมือด้วย” เพอร์รี่กล่าว “เขาใส่ความตลกและพลังเข้าไปในหนัง ขณะที่ใส่ความดราม่าที่ไม่คาดคิดที่ทำให้ตัวละครของเขามีความหนักแน่นและดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น”

บางทีตัวละครที่ดูสมจริงที่สุดในหนังคือ เอเจนท์ บล็อค นักสืบเอฟบีไอผู้คร่ำเคร่งกับการค้นหาในเรื่องการตาย รับบทแสดงโดย คอร์ทนีย์ บี. แวนซ์

“จะพูดถึงคอร์ทนีย์อย่างไรให้มากที่สุด?” เพอร์รี่ถาม “เขามีท่าทางที่ดูสง่าและทุกฉากที่เขาแสดงเป็นการแสดงที่มีแรงดึงดูดอย่างมหาศาลที่เขาใส่เข้าไป”

สำหรับแวนซ์ ถือเป็นโอกาสที่ได้พบหนังแนวใหม่จากผลงานการแสดงอันยาวเหยียดของเขา “พวกหนังสยองขวัญทำให้ผมกลัว แต่เมื่อพบว่าสตีฟ เควล เป็นผู้กำกับ ผมก็คิดว่า ‘เราไม่เคยแสดงอะไรแบบนี้มาก่อน และผมรู้ดีว่าผมกำลังจะอยู่ในการควบคุมที่ดีที่สุด’ ผมเลยต้องลองดูสักครั้ง”

และผู้ที่วนเวียนอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมแต่ละฉากคือบลัดเวิร์ธผู้ลึกลับ รับบทโดย โทนี่ ทอดด์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งหนังซีรี่ส์

“โทนี่เป็นคนที่น่าประทับใจมาก” ดี’อกอสโต้กล่าวว่า “เขาสามารถจ้องมองคุณและทำให้คุณรู้สึกว่าถูกปิดตายลงได้ แต่การทำงานร่วมกับเขาเป็นสิ่งที่สนุกมาก เราไม่อาจหาผู้ชายที่นิสัยดีและหน้าตาดีกว่านี้ได้อีกแล้ว”

แฟนๆ ภาพยนตร์แนวนี้เกิดการจุดประกายขึ้น เมื่อพวกเขาได้ยินว่าทอดด์แสดงในภาพยนตร์ตอนล่าสุด “หลังจากที่หายไประยะหนึ่ง โทนี่กลับไปและเรารู้สึกตื่นเต้น” เพอร์รี่ ผู้ชำนาญในหนังแฟรนไชส์ถึง 3 ภาคกล่าว “ทุกคนที่ชอบหนังพวกนี้จะมีความสุขเมื่อได้ยินว่าโทนี่ไม่ได้มาปรากฏตัวในบทเด่นสั้นๆ เท่านั้น แต่เขาแสดงในหลายฉาก และเขาส่งบทให้ทุกคนด้วย แฟนๆ ต้องชอบมัน”

ทอดด์ให้ดูตัวอย่างเพียงเล็กน้อยในการกลับมารับบทบาทของเขา “บลัดเวิร์ธเป็นใคร? บอกผมหน่อย บางทีเขาอาจเป็นตัวแทนหรือตัวแทนเซลล์อะไรสักอย่าง เขามีความลับส่วนตัวที่เปิดเผยไม่ได้…แต่ผมเดาว่าต้องมีเหตุผลสักอย่างที่เขาคอยปรากฏตัวขึ้นมา”

“สะพานจะพังลงแล้ว—พวกเราทุกคนต้องตาย!”

ภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 5” ดำเนินการสู่ขั้นตอนการสร้างในช่วงต้นเดือนกันยายน 2010 ที่แวนคูเวอร์, บริติช โคลัมเบีย ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกับที่ถ่ายทำหนังสามภาค ซึ่งภาคแรกถ่ายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

“มันรู้สึกเหมือนเด็กไฮสคูลกลับมารวมตัวกัน” เพอร์รี่หัวเราะ “หนึ่งในข้อดีที่สำคัญในการกลับมาที่แวนคูเวอร์คือมีทีมงานเก่งๆ มากมายอยู่ที่นี่ พวกเขาเคยร่วมงานในภาพยนตร์เรื่องก่อน หนังพวกนี้ยากที่จะถอนตัวออกไป พวกเขาจะต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคอย่างมหาศาล และการร่วมงางนกับคนที่เคยผ่านประสบการณ์มาแล้วสักครั้งหรือสองครั้งทำให้มันง่ายขึ้นมาก อันที่จริงมันทำให้ง่ายต่อการถ่ายทำที่สุดในหนังแฟรนไชส์เลย”

หัวหน้าของแต่ละแผนกอย่างผู้ควบคุมสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ โรรี่ คัตเลอร์ ผู้ควบคุมวิชลเอ็ฟเฟ็กต์ เอเรียล วีแลสโก้ ผู้ออกแบบการแต่งหน้าสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ โทบี้ ลินดาลา และผู้ควบคุมสตั๊นท์ เจ.เจ.มากาโร่ กลับมารวมตัวกันทั้งหมด เพอร์รี่พบว่าตัวเองมีช่วงเวลาเดจาวูหลายครั้งเกี่ยวกับเรื่องที่น่าจดจำ ตัวประกอบได้ปรากฏตัวในฉากวันหนึ่งโดยการยื่นใบขอเข้าถ่ายทำจากภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination” ภาคแรก

เควลเห็นด้วยว่าการมีทีมงานผู้มากประสบการณ์เป็นสิ่งล้ำค่ามาก “มันเป็นเรื่องอัศจรรย์ที่มีพวกเขามาร่วมงานด้วย เพราะผมเป็นมือใหม่สำหรับหนังแฟรนไชส์ ฉะนั้นการได้ประสบการณ์จากพวกเขาและไหวพริบทั้งหลายเป็นสิ่งที่ช่วยเหลือได้อย่างเหลือเชื่อ เรามีทีมงานยอดฝีมืออย่างโรรี่, เอเรียล, เจ.เจ.และโทบี้ รวมถึงเดวิด แซนเดอเฟอร์ ผู้ออกแบบฉากของเราที่สร้างผลงานอันน่าทึ่งในการยกระดับภาพและความสมจริงให้กับหนังถึงรายละเอียดที่เล็กที่สุด”

ผู้กำกับกล่าวต่อว่า “โรรี่และเอเรียลร่วมงานกันเป็นอย่างดีจริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะในหนังแนวนี้เราต้องใช้ดิจิตอลมาช่วยในเรื่องสถานที่ที่เราเข้าไม่ถึง ผมว่าเราเข้าถึงความสำเร็จได้ด้วยการผสมผสานการทำงานทั้งหมด เช่น วิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ สเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์และการเมคอัพ เมื่อใดก็ตามที่มีโอกาส เราจะไม่พึ่งเทคนิค CGI หรือการพลิกแพลงมากนัก เราใช้ความจริงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และโชคดีที่เราทำสำเร็จ ทีมสตั๊นท์ของเจ.เจ.ทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างฉากแอ็คชั่นให้รู้สึกสมจริง และทำให้เหล่านักแสดงของเรามีแนวการสนับสนุนที่ดีเยี่ยม”

ผู้สร้างความมั่นใจว่าความตายถูกเร็นเดอร์ท่วมไปด้วยเลือดอย่างงดงาม คือ ลินดา หัวหน้าฝ่ายเมคอัพผู้ควบคุมเอ็ฟเฟ็กต์ของเลือดในภาพยนตร์เรื่อง “Final Destination 3”

“ทีมงานของผมกับผมรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้มีส่วนร่วมในหนังเรื่อง ‘Final Destination’ อีก เพราะมันเป็นโปรเจ็กต์การแต่งหน้าเอ็ฟเฟ็กต์ในฝันเลย นี่คือจุดที่เราจะได้แสดงถึงผลงานของเราอย่างแท้จริง” เขากล่าว

ด้วยกล้องที่ทันสมัยระบบ 3 มิติที่ทำให้ทุกรายละเอียดมีความเข้มข้นขึ้น เลือดกลายเป็นสิ่งท้าทายใหม่ ทีมงานของลินดาลาใช้เวลาหลายชั่วโมงจนนับไม่ถ้วนเพื่อทดสอบอุปกรณ์ชิ้นใหม่ต่างๆ และผสมสูตรที่เห็นบนจอภาพแล้วดูเหมือนเป็นของจริง ซึ่งเป็นสูตรที่มีรายการของช็อคโกแลตไซรัป วอดก้าและบรรดาส่วนผสมอื่นๆ “มันต้องใช้เวลาเพื่อให้ได้ส่วนผสมที่เหมาะ” ลินดาลากล่าว “การทำงานร่วมกับระบบ 3 มิติค่อนข้างยากนิดหน่อย แต่ฉันดีใจที่เราได้สร้างผลงานตอนนี้ ไม่ใช่เมื่อ 10 หรือ 15 ปีที่แล้วที่ผลงานของเรายังห่างชั้น ตอนนี้เรามีการใช้ซิลิโคนอย่างแพร่หลาย พลาสเตอร์ bondo และกาว Pros-Aide ซึ่งแสงผ่านได้น้อยมาก เขาใช้มาผสมกับผิวและทำให้เกิดผิวที่เหมาะสมอย่างแท้จริง หากไม่มีองค์ประกอบใหม่ๆ เหล่านี้ ผลงานของเราคงโดดเด่นแบบการเมคอัพแทนที่จะดูเหมือนบาดแผลที่โดดเด่นสมจริง”

การทำงานร่วมกับผู้กำกับภาพยนตร์ผู้โด่งดัง เจมส์ คาเมรอน มานาน 20 ปี สตีเฟ่น เควล ไม่ได้แค่ “เติบโต” ขึ้นมาพร้อมพัฒนาการของ 3 มิติ แต่ยังมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของด้านเทคนิคและวิวัฒนาการด้านภาพยนตร์อย่างกระตือรือร้นอีกด้วย ท่ามกลางผลงานด้านภาพยนตร์ของคาเมรอสน เควลได้ร่วมงานกับที่ปรึกษาด้านภายนตร์สารคดีและโปรเจ็กต์ระบบ IMAX ของเขา ทำให้เขามีประสบการณ์ในการใช้ 3 มิติกว้างขึ้นในทุกด้านของสื่อกลางและสภาพแวดล้อมต่างๆ

“ผมได้เรียนรู้ตั้งแต่ช่วงแรกว่าควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไรกับ 3 มิติบ้าง” เควลให้ความเห็นว่า “ผมได้เรียนรู้วิธีการใช้มันเหมือนเครื่องมือการถ่ายทอดเรื่องราว ไม่ใช่เหมือนเคล็ดลับ และผมไม่ถ่ายทำระบบ 3 มิติจนกว่าพวกเขาจะส่งเรื่องมาให้ เพราะท้ายที่สุดแล้วเรื่องราวกับตัวละครคือสิ่งที่ประคองหนังไปร่วมกันได้ ไม่ใช่แค่การถ่ายทำที่เท่ห์ๆ”

นอกจากนั้นสำหรับองค์ประกอบของ 3 มิติ ผู้สร้างภาพยนตร์บันทึกภาพโดยการใช้ “Alexa” กล้องดิจิตอลระบบไฮ-เดฟที่สร้างขึ้นโดย Arriflex ผู้กำกับภาพไบรอัน เพียร์สัน กล่าวว่า “ในช่วงการเตรียมการถ่ายทำ สตีฟกับผมคุยกันอยู่นานถึงเรื่องภาพลักษณ์ของหนัง เราอยากให้ภาคต่อนี้เดินหน้าไปในทิศทางที่ต่างออกไป มีการถ่ายทำหนังด้วยระบบ 3 มิติที่มีการพัฒนามากขึ้น และรวมถึงเลนส์เพื่อใช้ถ่ายระยะไกลสำหรับบางฉาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ปกติแล้วไม่เป็นที่ยอมรับในการสร้างระบบ 3 มิติ เราต้องการความแตกต่างในเฟรมมากๆ ในส่วนของขอบเขตและในส่วนของสีสัน เราไม่ได้สร้างผลงานแค่ความลึกซึ้งในรูปแบบ 3 มิติแต่ยังรวมด้านมุมมองของสีสันตลอดภาพยนตร์ด้วย เราใช้สีสันโทนอบอุ่น สีทอง สีเหลือง และสีเปลวไฟ แต่ก็มีการรวมโทนสีเย็นในบางครั้งเพื่อสร้างความแตกต่างและเพิ่มความดราม่าเข้าไปในฉาก”

สิ่งที่มีความเหมือนกันในหนังเรื่อง ‘Final Destination’ และเป็นสิ่งที่ทำให้มันต่างจากหนังแฟรนไชส์สยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือการฝืนกฏความตายในฉากเปิดตัว ผู้สร้างภาพยนตร์มั่นใจว่าความหายนะนั้นเป็นจุดเริ่มต้นการเดินหน้าของภาพยนตร์ที่สร้างความพอใจได้อย่างเต็มที่ แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ที่คิดว่าเคยเห็นทุกอย่างมาแล้วก็ตาม

เอริค เฮสเซอเรอร์ ผู้เขียนกล่าวว่า “ไอเดียของการพังทลายของสะพานที่ระงับใช้เป็นผลมาจากการประชุมด้านการสร้างสรรค์ร่วมกับเคร็ก เพอร์รี่ และ ชีล่า ฮานาฮาน เทย์เลอร์ มาอย่างยาวนาน เราเริ่มจากการดูวีดีโอออนไลน์ของหายนะจากธรรมชาติหรือที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อค้นหาฉากที่น่าจะเหมาะกับหนัง เคร็กร่วมแชร์วีดีโอของการพังทลายของสะพาน Tacoma Narrows Bridge และผมก็หลงใหลไปกับมัน เราเริ่มจดทุกสิ่งทุกอย่างที่น่าจะผิดพลาดกับสะพาน พอเราคิดว่าเราระดมความคิดกันจนหมดแล้ว บางคนก็จะใส่รายละเอียดเสริมเข้าไป จนสุดท้ายหลังจากการวางแผนนาน ระดมความคิด เขียนบทและแก้ไขเป็นเวลา 3 เดือน ผมก็ได้ฉากที่รู้สึกว่าถูกต้องตามการเปิดตัวของหนัง ‘Final Destination’ แต่ความยิ่งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นกับสะพานที่พลังทลายคือตัวสตีฟ เควล เพราะเขามีการเปิดตัวหนังในแบบที่เราจินตนาการกันมาเป็นเวลาหลายเดือน และยกระดับมันให้เป็นภาพเคลื่อนไหว เป็นประสบการณ์ของภาพยนตร์ในแบบที่เราไม่คิดว่าจะเป็นไปได้เลย”

แต่การพลิกจากสิ่งที่อยู่บนหน้ากระดาษให้เป็นเรื่องจริงบนจอหนังระบบ 3 มิติขนาดใหญ่กลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ และเป็นกระบวนการที่มีความซับซ้อน ซึ่งรวมถึงการใช้สถานที่ๆ แตกต่างกันไป 4 แห่ง ได้แก่ สถานที่จริงของ Lions Gate Bridge ในแวนคูเวอร์, ฉาก Brunswick Pit สะพานยกระดับลอยฟ้าที่สร้างขึ้นในลานจอดรถกลางแจ้ง และสะพานวงแหวนดาดฟ้าที่โครงสร้างมีน้ำหนัก 80,000 ปอนด์ ซึ่งมีขนาด 60 x 50 ฟุต และตั้งอยู่ใกล้กับโรงถ่าย Mammoth

“สำหรับการทำสิ่งที่เราต้องการให้ประสบความสำเร็จ เราต้องมีความคิดสร้างสรรค์จริงๆ ว่าเราจะใช้ทรัพยากรของเราอย่างไร” เควลกล่าว “โดยสรุปแล้ว ฉากทั้งหมดนำไปสู่การพังทลายของสะพานที่เกี่ยวข้องกับ Lions Gate Bridge เรามีการถ่ายทำกลางอากาศ เราได้รับอนุญาตให้ปิดการจราจรบนสะพาน 1 เลนช่วงสั้นๆ ของเช้าวันอาทิตย์เพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น เพื่อใช้เวลาให้มีค่าที่สุด เราใช้กล้อง 4 ตัวถ่ายทำพร้อมกันเพื่อเก็บภาพ

“จากนั้นเราย้ายการถ่ายทำไปยังสถานที่บน Brunswick Pit” เขากล่าวต่อว่า “ซึ่งเรามีส่วนของดาดฟ้าที่สร้างขึ้นมา สถานที่นี่ดูน่าเหลือเชื่อเพราะมันมีทิวทัศน์สุดมหัศจรรย์ซึ่งเหมาะกับทิวทัศน์ท้องทะเลแบบพาโนรามา Lions Gate Bridge เราจึงผสมผสานของจริงเข้ากับส่วนที่สร้างขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน เราเรียกสถานที่ถ่ายทำอันที่สามว่าสะพานยกระดับ และที่นั่นมีส่วนบริเวณที่ยกระดับ 30 ฟีตขึ้นไปในอากาศ เราจึงถ่ายแบบมองจากข้างบนลงมาข้างล่างได้ และนั่นเป็นจุดที่นักแสดงของเราต้องตกลงจากสะพานและห้อยอยู่ตรงราวลูกกรงที่แตกอยู่ ในที่สุดเมื่อสะพานเริ่มพังทลายลง เราได้ย้ายไปที่โรงถ่ายที่เรามีสะพานดาดฟ้าขนาดยาวบนวงแหวนไฮดรอลิค นั่นคือจุดที่เราสร้างความสำเร็จให้ผลงานด้วยกรีนสกรีนที่เป็นส่วนสำคัญ”

ในการสร้างกรอบความคิดของฉากสะพาน ผู้ออกแบบฉาก เดวิด อาร์. แซนเดอเฟอร์ เชื่อมั่นในประสบการณ์เชิงสถาปัตยกรรมที่ผ่านมาของเขาเพื่อวาดแบบแผนที่มีความซับซ้อนขึ้นมา การอพยพครั้งใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยชายเขาที่ Brunswick Pit เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อเตรียมสถานที่ที่สามารถรองรับขอบเขตของการสร้างหนังได้ ซึ่งเป็นฉากที่รวมนั่งร้านสูง 50 ฟุตพร้อมด้วยกรีนสกรีนขนาดใหญ่ 2 จอขนาด 40x60 ฟุต ด้านบนเป็นฉากสีขาวปกคลุมอยู่ และเครนที่ไม่ต่ำกว่า 12 ตัว

“เราพบสถานที่ Brunswick Pit เพียง 3 อาทิตย์ก่อนเริ่มการถ่ายทำ และเรามีสิ่งก่อสร้างใหญ่ๆ หลายอย่างที่ต้องทำให้เสร็จ” แซนเดอเฟอร์แสดงความเห็น “แน่นอนว่าเราต้องปรับเปลี่ยนสภาพพื้นที่ไม่ใช่แค่ในระดับภาคพื้นดินบางแห่งเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งก่อสร้างในพื้นที่บริเวณอื่นเพื่อเป็นฐานให้กับสะพานยกระดับที่ปูพื้นด้วยยางมะตอย และบริเวณที่รายล้อมอยู่รอบนอก และเรายังมีการสร้างทางไหลของยางมะตอยที่ถูกต้องในฉาก เพื่อรักษาความปลอดภัยและความเป็นกังวลด้านสภาพแวดล้อม ที่นั่นจึงไม่มีดินถล่มมากวาดฉากเราลงไหล่เขาไปได้ เมื่อสะพานเริ่มพังทลายลง สตีฟต้องการถ่ายทำทั้งข้างบนและข้างล่างสะพาน ผมรู้ดีว่าเราไม่เคยมีโรงถ่ายที่สูงพอจะรองรับฉากเหล่านั้นได้ เราจึงคิดว่า ‘ทำไมเราไม่เอาส่วนหนึ่งของยางมะตอยลากมาไว้ข้างนอกและต่อขึ้นไปบนรถคอนเทนเนอร์?’ นั่นคือวิธีที่เราสร้างสะพานยกระดับดาดฟ้าขึ้นมา”

เพอร์รี่กล่าวว่า “พวกเราโชคดีมากที่มีเดวิด แซนเดอเฟอร์ เขาและทีมงานไม่ได้สร้างแค่ฉากที่สุดวิเศษในทุกฉากในหนังเท่านั้น แต่พวกเขายังสร้างผลงานที่ไม่น่าเชื่อในการเก็บภาพโครงสร้างของสะพานยกระดับเต็มขนาดและจำลองในแบบที่ต่างกันไปหลายแบบ เพื่อสร้างฉากเปิดตัวที่อลังการของเรื่อง ‘Final Destination’”

“คุณน่าจะตายบนสะพานนั้น คุณไม่น่ามาอยู่ที่นี่

คุณโกงความตาย”

ความตายที่เฝ้ารออยู่บนทุกมุมถนน หลบซ่อนอยู่ในร้านอาหาร และแม้แต่วนเวียนอยู่รอบตู้กดน้ำที่ออฟฟิศ ผู้สร้างภาพยนตร์หวังว่า “Final Destination 5” จะเป็นหนังภาคต่อระทึกขวัญที่สุดไปทุกยุคสมัย

เคร็ก เพอร์รี่ ผู้ชำนาญการในหนังทั้ง 5 ภาคกล่าวว่า “นั่นคือสิ่งที่ทำให้หนังแฟรนไชส์ประสบความสำเร็จ ความคาดหวังของการจินตนาการถึงเรื่องแย่ๆ ที่จะเกิดขึ้นกับรายละเอียดแสนธรรมดาของชีวิตประจำวัน มันฟังดูค่อนข้างเพี้ยนที่จะนั่งพิงแล้วสงสัยว่า ‘เราจะฆ่าคนอย่างไร? เราจะทำอะไรเพื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายที่น่าเศร้าในแบบที่เราไม่เคยทำมาก่อน?’ แต่ผมว่าผู้ชมต้องเห็นด้วยที่เราควบคุมให้อยู่เหนือตัวเองได้อีกครั้ง”

สตีเฟ่น เควล รู้สึกตื่นเต้นที่ได้นำ “Final Destination 5” ให้มีชีวิตชีวาบนจอภาพยนตร์ในระบบ 3 มิติ และมั่นใจว่าแฟนๆ จำนวนมากจะให้การตอบรับต่อความซื่อสัตย์ในหนังแฟรนไชส์ของพวกเขา “ผมว่าพวกเขาต้องอินไปกับมัน เพราะหนังสื่อสารถึงทุกอย่างที่ทำให้นี่เป็นหนังสยองขวัญ/ระทึกขวัญยอดเยี่ยม ทั้งตัวละครที่น่าสนใจ การตายเด็ดๆ ที่เคยพบในเรื่อง ‘Final Destination’ รวมถึงจุดพลิกผันที่ไม่น่าเชื่อและคาดไม่ถึงที่พวกเขาไม่คิดว่าจะเกิดขึ้น นั่นคือช่วงสำคัญที่อะดรีนาลีนจะวิ่งพล่านล่ะ”

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๗ ไทยพีบีเอสผนึกกำลัง สสส. ผลิต และเผยแพร่เนื้อหาส่งเสริมสุขภาวะเด็ก เยาวชน และครอบครัว
๑๗:๕๓ NPS ร่วมสืบสานประเพณีสงกรานต์ชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ประจำปี 2567
๑๗:๐๕ แพทย์แผนไทย มทร.ธัญบุรี แนะฤดูร้อนควรทานพืชผักที่มีฤทธิ์เย็นช่วยลดความร้อนในร่างกาย
๑๗:๓๒ แพรนด้า จัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2566
๑๗:๒๕ RBRU Herb Shot ขยายศักยภาพทางธุรกิจ รุกตลาดอินเดีย
๑๗:๔๘ ไฮเออร์ ประเทศไทย เดินเกมรุกไตรมาส 2 เปิดตัวตู้เย็นรุ่นใหม่ Multi-door HRF-MD679 ตั้งเป้าปี 67 ดันยอดขายตู้เย็นโต
๑๗:๐๕ เอ็น.ซี.ซี.ฯ ประกาศจัดงาน PET EXPO THAILAND 2024 ระดมสินค้า บริการ ลดหนักจัดเต็ม รับกระแส Petsumer ดันตลาดสัตว์เลี้ยงโตแรง
๑๗:๐๖ ธอส. ขานรับนโยบายรัฐบาล ลดอัตราดอกเบี้ย MRR 0.25% ต่อปี พร้อมส่งเสริมวินัยการออม ด้วย เงินฝากออมทรัพย์เก็บออม ดอกเบี้ยสูงถึง 1.95%
๑๗:๔๙ ManageEngine ลดความซับซ้อน ช่วยองค์กรจัดการต้นทุนบนคลาวด์ทั่วมัลติคลาวด์ได้ง่ายขึ้น พร้อมรองรับแพลตฟอร์ม Google Cloud
๑๗:๐๐ เปิดรับสมัครแล้ว HaadThip Fan Run 2024 แฟนรัน ฟันแลนด์ ดินแดนมหัศจรรย์ หาดสมิหลา จ.สงขลา