นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER เปิดเผยผลการดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 1/2563 มีกำไรสุทธิ 87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47 ล้านบาท หรือคิดเป็น 117.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีที่แล้วอยู่ที่ 40 ล้านบาท มีรายได้รวมอยู่ที่ 802 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 199 ล้านบาท หรือคิดเป็น 33% โดยสาเหตุหลักมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายจำนวน 181 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการขายตู้น้ำมัน เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้าเพิ่มขึ้นประมาณ 70 ล้านบาท 54 ล้านบาท และ 15 ล้านบาทตามลำดับ
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีต้นทุนในการจัดจำหน่ายและค่าใช้จ่ายในการบริหาร 284 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 8.8% เนื่องจากรายได้จากการขายสูงขึ้นมากที่ 54.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารบางส่วนเป็นค่าใช้จ่ายคงที่
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในไตรมาส 2/2563 คาดจะเติบโตต่อเนื่อง รับอานิสงส์การรณรงค์ให้ทำงานอยู่บ้าน หรือ Work from Home และสภาพอากาศที่เข้าสู่ฤดูร้อน ส่งผลให้ความต้องการสินค้ากลุ่มเครื่องปรับอากาศ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่มต่างๆ เป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นมาก ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถสร้างการเติบโตที่ดี แม้จะอยู่ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ก็ไม่ส่งผลกระทบใดๆ กับทีมขายของซิงเกอร์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ
ขณะที่ ธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน "รถทำเงิน" บริษัทฯ พิจารณาการให้สินเชื่ออย่างรัดกุม ด้วยเป้าหมายจะปล่อยสินเชื่อรถทำเงินในปีนี้ 2,000 ล้านบาท จากปีก่อนปล่อยได้ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากมีอัตราดอกเบี้ยที่ดี และความเสี่ยงต่ำ ด้วยระดับ NPL อยู่ที่ระดับไม่ถึง 1% ขณะที่ ณ สิ้นไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทฯ มีลูกหนี้จำนำทะเบียนรถ 119,984 ราย เพิ่มขึ้นไตรมาสที่ผ่านมา ณ 31 ธันวาคม 2562 ซึ่งอยู่ที่ 91,695 ราย หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็น 30% ในขณะที่พอร์ตลูกหนี้เพิ่มขึ้นเป็น 1,552 ล้านบาท ในไตรมาสนี้ จาก 1,264 ล้านบาท ณ 31 ธันวาคม 2562 หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็น 22.78%
“แม้ตอนนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ไม่กระทบธุรกิจของบริษัทฯ เพราะซิงเกอร์เป็นธุรกิจที่มีหน่วยขายย่อยในระดับชุมชน ที่ยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้เหมือนเดิม โดยเรามองว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดของ SINGER อีกปีหนึ่ง โดยมีสินเชื่อรถทำเงินเป็นดาวเด่น สามารถปล่อยสินเชื่อได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ควบคู่การคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย โดยในงวดไตรมาส 4/2562 ค่าใช้จ่ายคิดเป็น 95% ของรายได้ แต่งวดไตรมาส 1 ปีนี้ ค่าใช้จ่ายคิดเป็น 87% ของรายได้ เท่ากับลดไปได้ถึง 8% ส่วนภาพรวม NPL ของบริษัท ในไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ระดับ 8.1% ตั้งเป้าลดลงไปถึงเป้าหมายที่ระดับ NPL 7% จากปีก่อนอยู่ที่ 9.42% และมีพอร์ตสินเชื่อรวมแตะ 5,800 ล้านบาท จากปีก่อนมีพอร์ตสินเชื่อรวมกว่า 3,600 ล้านบาท พอร์ตโตกว่า 61%” นายกิตติพงศ์ กล่าว