นายสาทิส ตัตวธร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สาลี่อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ SALEE เปิดเผยถึง ผลประกอบการประจำงวดไตรมาสที่ 1/2555 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2555 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวม 45.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 148 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2554 ซึ่งมีกำไรสุทธิรวม 18.17 ล้านบาทนั้น
โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิ เนื่องจากในไตรมาสที่ 1/2555 นี้ มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 239 ล้านบาท จาก 179 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นการเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 34 ซึ่งยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นเพราะการผลิตที่ได้ชะลอไปในไตรมาสที่ 4/2554 จากการเกิดปัญหาภาวะน้ำท่วมโดยรอบโรงงาน ทำให้ไม่สามารถทำการผลิตสินค้าได้ทันตามที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้นคำสั่งซื้อที่เคยชะลอในช่วงเวลาดังกล่าวจึงทะยอยเข้ามาจำนวนมากในไตรมาส 1/2555 โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การที่มียอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิด Economy of Scale ทำให้ต้นทุนขายของบริษัทลดลง เนื่องจากต้นทุนบางส่วนเป็นต้นทุนคงที่ ซึ่งไม่เพิ่มขึ้นตามยอดขาย
"ผลงานไตรมาส 1/2555 ที่เติบโตอย่างโดดเด่น สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจทั้งในส่วนของ SALEE และ พาโก้ สาลี่ พริ้นท์ติ้ง ยังเติบโตได้ดีทั้งคู่ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากสินค้าของบริษัท อิงกับภาคการส่งออกในธุรกิจอิเล็คทรอนิกส์และธุรกิจคอนซูเมอร์โปรดักส์ ที่ปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับธุรกิจดังกล่าวมีอัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ถึง 30% ในขณะที่ต้นทุนราคาวัตถุดิบก็ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะผลักดันให้ผลประกอบการในปี 2555 ดีขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน"
ทั้งนี้จากการที่ SALEE ได้เพิ่มกำลังการผลิตเฉลี่ย 30% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาอย่างต่อเนื่องทุกปี โดยได้ตั้งงบลงทุนสำหรับซื้อเครื่องจักรทั้งในส่วนของงานผลิตชิ้นส่วนพลาสติกและพริ้นติ้งไว้ปีละประมาณ 150 ล้านบาท อีกทั้งยังได้รุกขยายฐานลูกค้า ตลอดจนการเจาะตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น จึงทำให้เชื่อว่าปีนี้รายได้น่าจะมีการเติบโตประมาณ 30% หรือขยับขึ้นไปแตะที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มีรายได้ 756 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าธุรกิจของบริษัทยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทไม่หยุดนิ่งที่จะขยายฐานลูกค้าเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ โดยยังคงเน้นกลยุทธ์ในการรักษาฐานลูกค้าเก่าและรุกขยายฐานลูกค้ารายใหม่ให้มากขึ้น ทั้งในกลุ่มอุตสาหกรรมพิมพ์ฉลากสินค้า กลุ่มชิ้นส่วนพลาสติก หรือแม้กระทั่งกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเชื่อว่าน่าจะผลักดันให้มีคำสั่งซื้อเข้ามาต่อเนื่องและผลักดันให้ผลประกอบการของ SALEE เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้
ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจพริ้นท์ติ้ง (ผลิตฉลากสินค้า) 55% และธุรกิจฉีดและขึ้นรูปพลาสติก 45% โดยทั้ง 2 ธุรกิจมีมาร์จินที่ใกล้เคียงกันประมาณ 30-35% ซึ่งบริษัทจะพยายามรักษาสัดส่วนนี้ไว้