นายสมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ (APM) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO เปิดเผยว่า บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO ได้รับหนังสือยืนยันการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทมหาชนจำกัด จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2558 ที่ผ่านมา โดยมีทุนจดทะเบียน 130ล้านบาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 100 ล้านบาท โดยภายหลังการจดทะเบียนดังกล่าวบริษัทจะใช้ชื่อ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) และมีชื่อย่อว่า “PIMO” ในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ขณะที่เตรียมยื่นไฟลิ่งต่อกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นจำนวน 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 0.25 บาท ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 นี้ เพื่อจะนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ
“ คาดว่า PIMO น่าจะยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง)ของ PIMO เพื่อเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.25 บาท/หุ้น ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2558 นี้ เพื่อจดทะเบียนเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เ อ็ม เอ ไอ โดยเม็ดเงินที่ได้จาการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ขยายโรงงาน และจัดซื้อเครื่องจักรใหม่ และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จะทำให้นักลงทุน คู่ค้า ให้ความสนใจเข้ามาร่วมลงทุนหรือร่วมธุรกิจกับบริษัทฯมากขึ้น และมีโอกาสขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศได้มากขึ้นอีกด้วย ” นายสมภพ กล่าว
นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนียร์ มอเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ PIMO กล่าวถึงสำหรับวัตถุประสงค์ในการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เนื่องจากจะช่วยให้มีความมั่นคง หวังเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพิ่มศักยภาพด้านการตลาด รวมไปถึงมีเงินทุนในการขยายธุรกิจให้เติบโตแบบยั่งยืน และการที่บริษัทเป็นบริษัทมหาชน ทำให้ PIMO มีภาพลักษณ์เป็นบริษัทที่มีความโปร่งใส ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้า และพันธมิตร โดยสามารถที่จะช่วยสนับสนุนให้กิจการเติบโตได้ในอนาคต ทั้งนี้ PIMO ถือว่าเป็น หนึ่งในผู้นำทางด้านการผลิตและจัดจำหน่ายมอเตอร์สำหรับเครื่องปรับอากาศ (Air Movement Motor) มอเตอร์กำลัง (Induction Motor) และเครื่องสูบน้ำ(Submersible Pump) ที่มีประสิทธิภาพสูง ภายใต้สินค้า Pioneer
“ สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปี ย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2555-2557 บริษัทมีรายได้ในปี 2555 มูลค่า 393 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 471 ล้านบาทในปี 2556 และมีกำไรสุทธิ ในปี 2555 เป็นจำนวน 9.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิในปี2557 จำนวน 40.26 ล้านบาทโดยรายได้มาจากสินค้าประเภทมอเตอร์แอร์คอนดิชันนิ่งเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้ในประเทศ 75% และต่างประเทศ 25% ตามลำดับ “ นายวสันต์ กล่าว