นอกจากนี้ บริษัทเปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ เอ็นแฮนซ์ 25( KTFFE25 ) เสนอขายในวันที่ 23 - 28 กรกฎาคม 2558 อายุโครงการ 6 เดือน เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ประกอบด้วย MTN ที่ออกโดย Banco ABC ( Brasil) , MTN ที่ออกโดย Banco Santander (Brasil ) S.A. , MTN ทออกโดย Tuekiye IS Bankasi A.S , เงินฝากประจำ PT Bank Rakyat Indonesia (PERSERO ) Tbk , เงินฝากประจำ Yapi ve Kredi Bankasi A.S. ในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 20% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ผลตอบแทนประมาณ 2.00 % ต่อปี
พร้อมทั้ง อยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่ายรอบใหม่ ( Roll Over ) ของกองทุนเปิดกรุงไทยประจำ 3 เดือนคุ้มครองเงินต้น 2 (KTFIX3M2 ) อายุ 3 เดือน เสนอขายถึงวันที่ 24 กรกฏาคม 2558 เน้นลงทุนในพันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย 81% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่วนที่เหลือลงทุนในเงินฝากธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) ผลตอบแทนประมาณ 1.15% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศปรับตัวลดลงเกือบทุกช่วงอายุ โดยมีแรงซื้อเข้ามาตลอดสัปดาห์จากความคาดหวังว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกรอบหลังรัฐมนตรี ว่า การกระทรวงการคลังออกมาแถลงว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะขยายตัวต่ำกว่าในครึ่งปีแรก นอกจากนี้ ยังมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่อาจเข้ามาซื้อเพื่อหวังทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกรอบ โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิจำนวน 10,637 ล้านบาท สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ยังคงเป็นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โอกาสของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และการเคลื่อนไหวของตลาดตราสารหนี้ต่างประเทศ
อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา อายุตั้งแต่ 3 ปีลงมาปรับตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการปรับเพิ่ม Fed Fund Rate ในปีนี้ หลังประธานเฟด ได้แถลงต่อคณะกรรมการการเงินของสภาผู้แทนฯ ว่า เฟด มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ หากเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวตามคาด ในขณะที่พันธบัตรอายุมากกว่า 3 ปี อัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงจากการที่นักลงทุนยังคงเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถึงแม้วิกฤตหนี้กรีซจะคลี่คลายไปแล้วก็ตาม โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3 bps. มาอยู่ที่ 0.68% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวลดลง -1 bps. มาอยู่ที่ 1.67% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวลดลง -8 bps.มาอยู่ที่ 2.34% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ยังคงเป็นท่าทีของเฟด เกี่ยวกับช่วงเวลาในการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจส่งผลต่อความผันผวนของตลาดและต่อทิศทางการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้