นางเจนนี่ ลู บันนิ่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิลเลรอย แอนด์ บอค ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิคผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ระดับโลกจากประเทศเยอรมนี ภายใต้แบรนด์ Villeroy&Bochเปิดเผยว่า"ปัจจุบันตลาดรวมในกลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ มีมูลค่ากว่า 7,500 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5-10%โดยในปี2559 นี้ คาดว่าภาคอุตสาหกรรมสุขภัณฑ์จะมีการขยายตัวเพียงเล็กน้อย อันเป็นผลจากปัจจัยทางเศรษฐกิจโลกที่ค่อนข้างจะซบเซา รวมถึงการชะลอการลงทุนของภาคอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ดังจะเห็นได้จากกลุ่มบ้านเดี่ยว และอาคารชุดระดับ 1-5 ล้านบาท เริ่มมียอดขายลดลง ซึ่งส่งผลให้ตลาดผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ระดับกลาง และระดับล่างชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามด้วยการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ทั้งการลดราคา และการจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่องของสุขภัณฑ์แต่ละแบรนด์ รวมถึงห้างร้านต่างๆ น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายของสุขภัณฑ์ระดับนี้ให้ดีขึ้นได้ในระดับหนึ่งแต่ในส่วนของผลิตภัณฑ์สุขภัณฑ์ระดับบน หรือไฮเอนด์จะยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้จากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับ 200,000 บาท ต่อ ตร.ม. และบ้านเดี่ยวระดับ 20-100 ล้านบาท หรือจะเป็นกลุ่มโรงแรมและห้างสรรพสินค้า"
"สำหรับวิลเลรอย แอนด์ บอค นั้นเรายังคงมุ่งมั่นในการพัฒนาสินค้าและการบริการ ควบคู่กับการสร้างสรรค์นวัตกรรมผ่านเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนพัฒนากระบวนการผลิตนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาคควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์เพื่อความแม่นยำสูง จากประเทศเยอรมนี มาติดตั้งที่โรงงานในจังหวัดสระบุรี ซึ่งถือเป็นฐานการผลิต และส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกนอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ทำการศึกษาความต้องการของลูกค้าในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง โดยทีมวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ เพื่อสร้างสรรค์พัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ครอบคลุมและตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด รวมถึงสร้างความมั่นใจในผลิตภัณฑ์มาตรฐานเยอรมนีอีกด้วยนอกจากนี้บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพทรัพยากรบุคคลเพื่อผลักดันให้ วิลเลรอย แอนด์ บอค ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ โดยการจัดอบรมให้ความรู้แก่บุคลากร โดยทีมงานจากประเทศเยอรมนี พร้อมทั้งการเพิ่มจำนวนบุคลากรฝ่ายขายในกลุ่มลูกค้าโครงการให้มากขึ้น เพื่อให้ดูแลได้ครอบคลุมทุกโครงการ"
นางเจนนี่ ลู บันนิ่งกล่าวเพิ่มเติมว่า "สำหรับในปี 2559 นี้ บริษัทฯ จะเน้นกลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์และต่อยอดขยายฐานผู้บริโภคให้เป็นไปอย่างกว้างขวางโดยมุ่งเน้นในการขยายฐานผู้บริโภคไปยังลูกค้ารายย่อย หรือเจ้าของบ้าน 30-40%รวมถึงสถาปนิก-มัณฑนากร เริ่มจากการขยายช่องทางการจำหน่ายเพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยมีแผนการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อขยายสาขาหรือโชว์รูมที่กรุงเทพฯ ในเขตชานเมืองอย่างบางนา-ตราด และหัวเมืองภาคตะวันออกอย่างเมืองพัทยา ซึ่งปัจจุบันเรามีศูนย์บริการหรือโชว์รูมอยู่ครอบคลุมทั้ง 4 ภาคใหญ่โดยล่าสุดทางบริษัทฯ ยังได้เปิดตัวคอลเล็คชั่นใหม่ครั้งแรกในเอเชีย กับ Venticello (เวนติแชลโล) สุดยอดงานดีไซน์ผสานนวัตกรรมใหม่ในรูปแบบ Modern Luxury ซึ่งให้ความเรียบหรู ทันสมัย พร้อมทั้งเส้นสายที่โดดเด่น เชื่อมต่อกันอย่างลงตัว ทั้งสุขภัณฑ์ และชุดเฟอร์นิเจอร์ โดยลูกค้าสามารถเลือกผสานสีของพื้นผิวและมือจับของชุดเฟอร์นิเจอร์ได้ถึงกว่า 40 รูปแบบเพื่อการรังสรรค์ห้องน้ำที่ตอบโจทย์ทั้งด้านดีไซน์ และการใช้สอยได้อย่างลงตัว"
"สำหรับแผนการตลาดในปีนี้บริษัทฯได้จัดเตรียมกิจกรรมทางการตลาด โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์และการบริการ สู่ผู้บริโภคในวงกว้างอาทิการเข้าร่วมโชว์นวัตกรรม ภายในงานสถาปนิก มหกรรมการแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรมที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เป็นประจำทุกปีอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการร่วมออกบูธแสดงสินค้าในงานต่างๆ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอื่นๆ รวมทั้งการเพิ่มกลยุทธ์การตลาดออนไลน์เพื่อขยายการรับรู้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่และสามารถสื่อสารและสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าโดยตรง รวมถึงการร่วมกิจกรรมต่างๆ ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ อย่างwww.facebook.com/VilleroyandBoch/และที่เว็บไซต์www.villeroy-boch.com
สำหรับผลดำเนินงานของบริษัทฯ ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยมียอดขายเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว แม้ว่าเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมาจะอยู่ในสภาวะชะลอตัว และจากกลยุทธ์การตลาดต่างๆ นับว่าเป็นกลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตทางธุรกิจ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าจะช่วยสานต่อความสำเร็จในการทำตลาดของวิลเลรอย แอนด์ บอค และผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างน้อย 50 % ภายในสิ้นปี 2559 ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้" นางเจนนี่ ลู บันนิ่งกล่าวทิ้งท้าย