"อย่างไรก็ตาม ในระยะกลางถึงยาวการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 ที่ยังคงแข็งแกร่ง ตัวเลขการส่งออกและภาคการท่องเที่ยวเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย. 61 อยู่ที่ 81.3 ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2556 อีกทั้ง การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาทั้งในส่วนของรายจ่ายประจำและรายจ่ายเพื่อการลงทุน อีกทั้งผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ยังเป็นที่น่าสนใจลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆ ในภูมิภาค โดยตลาดหลักทรัพย์ไทยมีค่า P/E ปี 2561 อยู่ที่ 14.5 เท่า ขณะที่อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 14.8 เท่า และ 16.5 เท่า ตามลำดับ ด้านอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของไทยอยู่ที่ 3.4% ซึ่งสูงกว่าอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์เช่นกัน ทั้งนื้ เราคาดการณ์ว่า SET Index มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นถึงระดับ 1,800 – 1,850 จุดในอีก 12 เดือนข้างหน้า" (ข้อมูลจาก บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 29 มิ.ย. 61)
"การลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงบนพื้นฐานของความเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตถือเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าลงทุน โดยเฉพาะการทยอยลงทุนในกองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวพร้อมสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรก ผู้ลงทุนได้ทยอยลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนสุทธิในกองทุนหุ้น กองทุน LTF และกองทุน RMF ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น ภายใต้การบริหารจัดของบลจ.กรุงศรี มูลค่ารวมกว่า 6,800 ล้านบาท ซึ่ง สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนยังคงเล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดหุ้นไทย" (ข้อมูล บลจ.กรุงศรี ณ วันที่ 29 มิ.ย. 61) นางสุภาพร กล่าว
นักลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757 หรือ เว็บไซต์ www.krungsriasset.com หรือ ติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
ผลการดำเนินงานในอดีนตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต