นายกิตติ พัวถาวรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ หรือ NCL ผู้ให้บริการจัดการระบบโลจิสติกส์ครบวงจร (Logistics Solution Provider) เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯสำหรับงวดปี 2561 พลิกมีกำไรสุทธิครั้งแรกในรอบ 4 ปีอยู่ที่ 3.15 ล้านบาท จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 7.60 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการให้บริการขนส่งรวมอยู่ที่ 1,119.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.66% เมื่อเทียบกับปีก่อน
บริษัทฯเตรียมเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2562 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 26 เมษายน 2562 ให้พิจารณาจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.0067 บาทต่อหุ้น ขึ้นXD ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 24 พฤษภาคม 2562
โดยผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นทั้งกำไรและรายได้นั้น เป็นผลมาจากบริษัทได้ใช้กลยุทธ์เพิ่มยอดขายตลอดทั้งปี และควบคุมต้นทุนทำให้บริษัทฯมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจของบริษัทย่อยยังเติบโตได้อย่างโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น NCL INTER LOGISTICS (S) PTE LTD (NCL SINGAPORE) ในปี 2561 พลิกทำกำไรสุทธิที่ 2.93 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 222.59% และรายได้รวมอยู่ที่ 105.96 ล้านบาท เติบโต 25.36% จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 2.39 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 84.52 ล้านบาท เนื่องจาก NCL SINGAPORE สามารถขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้น และยังได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าเดิมทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้ และการขยายส่วนงานขนส่งแบบ LCL Shipment (Less thanContainer Load) ยิ่งทำให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้น
สำหรับ "บจ.เกรซ วอเทอร์ เมด" หรือ GWM ทำธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำยาล้างไตและเวชภัณฑ์ ปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 52.80% โดยในปี 61 GWM มีรายได้ที่ 96.93 ล้านบาท เติบโตถึง 160.63% และพลิกมีกำไรสุทธิที่ 0.7 ล้านบาท จากปีก่อนที่มีรายได้เพียง 37.19 ล้านบาท และขาดทุนสุทธิที่ 0.54 ล้านบาท เพราะการก่อสร้างโรงงานผลิตน้ำยาล้างไตได้เริ่มผลิตและจำหน่ายในช่วงปลายเดือนกรกฏาคม 2560 จึงทำให้ในปี 2561 มีรายได้เพิ่มขึ้น
ส่วนภาพรวมธุรกิจในปี 2562 บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (นิวไฮ)ไม่ต่ำกว่า 50% หรือแตะ 1,500 ล้านบาท เนื่องจากเป็นปีที่จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน "บจ.ซิม (ไทยแลนด์)" เข้ามาเต็มปีเฉลี่ยกว่า 10 ล้านบาท รวมถึงมีแผนขยายการขนส่งสู่ต่างประเทศมากขึ้นด้วย ไม่ว่าจะเป็น ประเทศอินโดนีเซีย และจีน เป็นต้น เพื่อผลักดันให้สัดส่วนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 30-40% หรือเฉียด 50% เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีสัดส่วนเพียง 10-20% เท่านั้น
รวมถึงบริษัทยังมุ่งมั่นสร้างโอกาสในการดำเนินธุรกิจเพื่อเป้าหมายภายใน 5 ปีข้างหน้า หรือระหว่างปี 2562-2566 มีรายได้รวมแตะที่ระดับ 5 พันล้านบาท และสร้างฐานกำไรสุทธิให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ เพื่อกลับมาจ่ายปันผลคืนให้กับกลุ่มผู้ถือหุ้นในได้ในที่สุด