1. เสนอให้ผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิต (supply chain) มีส่วนรับผิดชอบในการป้องกันการนำเข้าไม้ที่ผิดกฎหมาย โดยมีระดับความรับผิดชอบลดหลั่นกัน คือ ผู้ค้า (traders) ที่จำหน่ายไม้ในอียูเป็นรายแรกต้องมีระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับไม้ (due diligence system) ที่เข้มงวดมากกว่าผู้ประกอบการที่นำไม้ไปจำหน่ายอีก ทอดหนึ่ง (reseller) ซึ่งจะเป็นเพียงผู้ให้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับสินค้า รวมทั้งให้มีระบบประเมินความเสี่ยงที่เข้มงวดขึ้น
2. ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับไม้ที่ผลิตตาม Mandatory sustainability criteria เช่น wood-based biomass ภายใต้ Renewable Energy Directive ที่ได้รับการรับรองโดยสภายุโรป เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2551
3. เพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับบทลงโทษ
4. ให้คณะกรรมาธิการยุโรปเป็นหน่วยรับผิดชอบควบคุมการใช้ระบบ due diligence system แทนที่จะเป็นรัฐบาลของแต่ละประเทศสมาชิกอียู ซึ่งจะทำให้มีมาตรฐานเดียวกันทั่วอียูและควรควบคุม supply chain ควบคู่ไปกับการตรวจสอบโดยองค์กรตรวจสอบอิสระด้วย
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่มีข้อยุติ และจะได้มีการประชุมพิจารณาในเดือนเมษายน 2552 เช่น คำจำกัดความเกี่ยวกับ illegal logging เป็นต้น
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ไปสหภาพยุโรปมูลค่าเฉลี่ย ปีละ 4,854 ล้านบาท (2549 — 2551) โดยในปี 2551 ไทยส่งออกมูลค่า 4,319 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนร้อยละ 14 ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยจึงควรติดตามร่างข้อบังคับดังกล่าวเพื่อเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติให้สอดคล้องกับระเบียบได้อย่างถูกต้องรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถดูได้ที่http:ec.europa.eu/environment/forests/pdf/proposal_logging.pdf http:www.consilium.europa.eu/cms3_fo/previousFocus.ASP?lang=EN&focused=341&1=go&keyword=