ว่าที่ ร.ต.จักรภัทร ผ่องโอภาส เกษตรจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่าสถานการณ์ภัยแล้งส่อเค้ารุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากพื้นที่ 1,900 กว่าหมู่บ้าน เริ่มประสบปัญหาภัยแล้ง และกำลังขยายวงกว้างออกไป ซึ่งนับมาเยือนเร็วกว่าทุกปี เนื่องจากการกระจายตัวของฝนในรอบปีที่ผ่านมาไม่สม่ำเสมอ และเกิดจากภาวะโลกร้อน โดยทางตอนเหนือของจังหวัด มีแม่น้ำชีไหลผ่าน และรับน้ำจากเขื่อนอุบลรัตน์ สถานการณ์อาจจะไม่รุนแรงเหมือนอำเภอทางตอนใต้ ที่มีปริมาณเก็บกักน้ำในระดับต่ำ จากการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์พบว่าปีนี้เกษตรกรมีการปลูกข้าวนาปรังกันมาก รวมพื้นที่แล้วกว่า ๑๗๐,๐๐๐ ไร่ โดยเฉพาะในเขตอำเภอโกสุมพิสัย กันทรวิชัย เชียงยืนและอำเภอเมืองมหาสารคาม ในเขตพื้นที่โครงการชลประทานน้ำพองหนองหวาย และเขตพื้นที่สูบน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้า รวมถึงพื้นที่นอกเขตชลประทานที่อาศัยน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติซึ่งส่อเค้าที่จะกระทบภัยแล้ง แต่สิ่งที่น่าห่วงคือราคาข้าวนาปรังที่กำลังจะออกสู่ตลาดในช่วงเดือนต่อไป ที่ราคาอาจจะตกต่ำเนื่องจากภาครัฐยังไม่ได้กำหนดมาตรการใดๆออกมาช่วยเหลือเกษตรกร นอกจากนี้ยังพบว่าพืชฤดูแล้งอื่นๆเกษตรกรยังปลูกพืชไร่ พืชผักและอื่นๆ รวมพื้นที่ กว่า ๑๐,๐๐๐ ไร่ อาทิถั่วลิสง ยาสูบเตอร์กีส มันสำปะหลัง แตงโม ปอเทือง และพืชผัก
เกษตรจังหวัดมหาสารคามกล่าวต่อไปว่าการปลูกพืชฤดูแล้งปัญหาที่สำคัญคือปริมาณน้ำที่อาจจะไม่เพียงพอในช่วงฤดูการเพาะปลูก โดยเฉพาะในช่วงติดดอก ออกผล ซึ่งทำให้ไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ หรือได้ปริมาณน้อย เกษตรกรจึงอาจประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งของการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งในเขตจังหวัดมหาสารคาม โดยเฉพาะพื้นที่นอกเขตชลประทาน เกษตรกรจึงควรมีการวางแผนการผลิตอย่างรอบคอบและไม่ควรปลูกข้าวนาปรังในรอบที่ ๒ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อผลกระทบภัยแล้งและราคาข้าวที่อาจตกต่ำ ทางออกเกษตรกรควรหันไปปลูกพืชใช้น้ำน้อย อาทิพืชไร่ พืชผัก และอื่นๆที่ให้ผลตอบแทนต่อไร่สูง หรือหากสนใจจะฝึกอาชีพอิสระ รวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากผลิตผลการเกษตร ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่เกษตรที่รับผิดชอบตำบล เพื่อจัดหลักสูตรการฝึกอบรมให้กับเกษตรกรต่อไป
เกษตรกรที่มีปัญหาด้านการเกษตร ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรจังหวัด/สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้าน หรือติดต่อสอบถามโดยตรงกับเกษตรจังหวัดมหาสารคาม โทรศัพท์หมายเลข ๐๘๑-๗๙๐๕๒๕๖ และหมายเลข ๐๘๘-๕๔๙๗๙๔๔